Most Popular
503
🥣Hitlerszalonna..แยมของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
🍏Granny Apple..แอปเปิ้ลเขียวคุณยายสมิธ
🍸Margarita..ค็อกเทล Sexy และแอบมี Drama
🍽Nachos..ชื่อนี้ได้มาเพราะคุณนายทหาร
🥪Sandwich แซนด์วิช..ชื่อนี้กำเนิดจากวงไพ่ไฮโซ
“ทุก Menu มีเรื่องเล่า” (ตอน 2) มาแล้วครับ!
ก่อนเล่าเรื่องอาหาร พวกเรา “นวัตกิน” ขอขอบคุณผู้อ่านทุกคนมากๆ นะครับที่ช่วยตอบรับ คอมเมนต์ กดไลค์และแชร์สเตตัสที่แล้วของเรา เรียกว่าเป็นกำลังใจให้เพจเปิดใหม่แบบเรามากๆ
ส่วนตอนนี้ ไปดูกันเลยดีกว่าครับว่ามี “เรื่องเล่า” อะไรที่ซ่อนอยู่ในเมนูที่เรารู้จักกันดีเหล่านี้
Hitlerszalonna
แยมฮิตเลอร์ซาโนลา..แยมของท่านผู้นำ
คำว่า hitlerszalonna หรือ Hitler-szalonna แปลตามตัวอักษรว่า “เบคอนของฮิตเลอร์” แต่มันไม่ใช่เบคอนนะครับ..มันเป็นแยม!
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น..
นวัตกินเล่าให้ฟังครับ
“แยมฮิตเลอร์ซาโนลา” เป็นแยมผลไม้เนื้อแน่น ที่ทหารและพลเรือนฮังการีกินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
แยมชนิดนี้ทำมาจากผลไม้หลายชนิดผสมกันโดยมีส่วนผสมหลักเป็นลูกพลัม (plum) (หรือที่เรียกว่าลูกพรุน) นั่นเอง และเมื่อทำเสร็จมันจะถูกตัดเป็นแท่งๆ สี่เหลี่ยมเหมือนก้อนอิฐแล้วห่อด้วยกระดาษแทนการใส่ขวด (ขวดและแก้วเป็นของหายากในช่วงเวลานั้น)
ดังนั้น เวลาที่จะทาน ผู้คนก็จะต้องหั่นมันออกเป็นแผ่นหนาๆ
ทีนี้ด้วยความที่มันมีสีแดงเหมือนเนื้อหมูติดมันที่ชาวฮังการีเรียกว่า ซาโลนา (szalonna) และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารฮังการีต้องทำตามข้อกำหนดด้านอาหารของเยอรมัน พวกเขาไม่มีเบคอนจริงๆ กิน แต่ได้รับแจกแยมซาโลนาแทน ไปๆ มาๆ มันก็เลยถูกเรียกอย่างนั้นไปด้วยซะเลย (อาจจะเพื่อสร้างจินตนาการ)
ตามข้อมูลประวัติศาสตร์ มีบันทึกของทหารฮังการีในกองทัพเยอรมันที่ยกไปตีเมืองสตาลินกราดในสหภาพโซเวียตว่า..ทุกวันพวกทหารจะได้กินแยมที่เรียกกันว่า “เบคอนขององค์พระจักรพรรดิ”
ซึ่งคำว่า จักรพรรดิ ก็หมายถึง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ดังนั้นจึงทำให้ แยมชนิดนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า “เบคอนของฮิตเลอร์” นั่นเอง
Granny Apple
แอปเปิ้ลพันธุ์แกรนนีสมิท..แอปเปิ้ลชื่อคุณยาย
ในโลกนี้มีแอปเปิ้ลหลายชนิดครับ และแอปเปิ้ลยอดฮิตที่ว่ากันว่าเป็นแอปเปิ้ลยอดนิยมอันดับ 3 ของการบริโภคในสหรัฐอเมริกาก็คือ “แอปเปิ้ลคุณยาย” หรือแอปเปิ้ลเขียวพันธุ์แกรนนีสมิทที่เราคุ้นเคย
แอปเปิ้ลพันธุ์นี้ได้ชื่อมาจาก “คุณยายสมิธ” หรือหญิงชรานาม มาเรีย แอนนา สมิท (Maria Ann Smith, 1799–1870)
ว่ากันว่าเป็นแอปเปิ้ลที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญในออสเตรเลียเมื่อปีค.ศ. 1868 เรื่องคร่าวๆ คือ มีใครบางคนกินแอปเปิ้ลแล้วก็โยนทิ้งไว้บนพื้นดิน ไม่มีใครคิดว่าจะงอกขึ้นมา (แต่มันก็งอก)
โชคชะตาทำให้คุณยายสมิทค้นพบมันและเพาะพันธุ์ขึ้นมา ในทางวิชาการแอปเปิ้ลพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างแอปเปิ้ลป่าของยุโรปกับแอปเปิ้ลจากทวีปอเมริกาเหนือ มีเปลือกสีเขียวสดใส เนื้อกรอบและฉ่ำน้ำ มีรสค่อนข้างเปรี้ยวจึงไม่นิยมกินดิบๆ มากนัก
และก็เพราะคุณสมบัติพิเศษที่เนื้อของมันยังคงรูปอยู่เมื่อนำไปอบ ผู้คนจึงนิยมนำแอปเปิ้ลคุณยายไปเชื่อมเพื่อทำเป็นขนมพายนั่นเอง
Margarita มาร์การีตา..
ค็อกเทลSexy และแอบมี Drama
สำหรับประวัติการกำเนิดของ “มาร์การิตา” เครื่องดื่มที่มีคาแรคเตอร์เป็นสาวเซ็กซี่ทรงเสน่ห์นั้นออกจะยุ่งๆ อยู่ซักหน่อย เพราะหากสาวสวยจะมีคนมากมายหมายปอง เครื่องดื่มเซ็กซี่ชนิดนี้ก็มีคนมากมายที่อ้างว่าตนเองเป็นผู้คิดค้นมันขึ้นมาเช่นกัน
คนแรกที่อ้างว่าเป็นเจ้าของสูตรมาร์การิตา คือ มาการีตา ซามาส์ สาวสังคมแห่งเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ที่อ้างว่าเธอคิดค้นเครื่องดื่มนี้ขึ้นมาเมื่อปี 1948 เพื่อเสิร์ฟในงานเลี้ยงที่เมืองอากาปุลโก ประเทศเม็กซิโก
ขณะที่นาย เอนริก บัสตันเต กูเตียเรซ ก็อ้างว่าเขาคิดสูตรเครื่องดื่มนี้ขึ้นที่เมืองติฮวนนา เมื่อทศวรรษ 1940 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากริตา เฮย์เวิร์ธ (Rita Hayworth) ซึ่งมีชื่อจริงว่า มาการีตา คันซิโน (Margarita Cansino) โดยมีเรื่องราวที่เชื่อมโยงเครื่องดื่มนี้กับเธอด้วย เนื่องจากในสมัยที่ริตา เฮย์เวิร์ธยังใช้ชื่อเดิมนั้น เธอเคยเป็นดาวเต้นในไนท์คลับที่ติฮวนนาอีกด้วย
ไม่จบแค่นั้น เพราะอีกคนที่อ้างว่าตนเป็นผู้คิดค้นเครื่องดื่มสูตรนี้คือ เรด ฮินตัน บาร์เทนเดอร์จากรัฐเนวาดา ที่บอกว่าเขาเป็นคนคิดค้นมันโดยเขาตั้งชื่อมันจากชื่อ “มาร์การีตา เมนเดซ” แฟนสาวของเขา
Nachos นาโชส์
คุณนายทหารและ “จานพิเศษของผมเองครับ”
อิกนาโชส์ อานายา (Ignacio Anaya) หรือที่เพื่อนๆ เรียกกัน “นาโช” ผู้จัดการโรงแรมในเม็กซิโกคือผู้คิดค้นอาหารว่างจานสไตล์เท็ก-เม็ก (Tex-Mex) นี้ขึ้นมาเมื่อประมาณปีค.ศ. 1943
สูตรดั้งเดิมของ “นาโชส์” (Nachos) นั้น คือการใช้แผ่นข้าวโพดหรือตอร์ติญา (tortilla) กรอบราดด้วยชีสเยิ้มๆ หรืออาจราดด้วยซอสที่มีส่วนผสมของชีส มีพริกเม็กซิโกหั่นแฉลบโรยหน้า ถือเป็นอาหารว่างหรืออาหารเรียกน้ำย่อย และต่อมาก็มีการพัฒนาเพิ่มเครื่องปรุงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมะกอกดอง ซัลซาและครีมเปรี้ยว จนกลายเป็นอาหารจานหลักด้วย
ว่ากันว่า..
ครั้งหนึ่ง เมื่อเหล่าภรรยาทหารอเมริกันข้ามพรมแดนไปยังเม็กซิโก พอเข้าไปในร้านอาหาร Victory Club ซึ่งนาโชเป็นผู้จัดการ
นาโชต้องหาข้าวของเท่าที่มีทำอาหารให้แขก เขาจึงนำแป้งตอร์ติญามาหั่นเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วทอดให้กรอบ โรยด้วยชีสขูดฝอยแล้วให้ความร้อนพอชีสละลาย จากนั้นจึงโรยด้วยพริกเม็กซิโกหั่นแฉลบอีกที
อาหารประดิษฐ์ใหม่นี้กลายเป็นที่ถูกปากเหล่าคุณนาย
เมื่อคุณนายนายทหารถามชื่อเมนูนี้ว่ามันเรียกว่าอะไร
เขายังไม่ได้ตั้งชื่อมัน จึงตอบไปว่า
“Nacho’s especiales”
ซึ่งแปลว่า “จานพิเศษของนาโช” (เองครับ-ทำนองนั้น)
ตรงนั้นเองที่ชื่อ “นาโชส์” จึงถือกำเนิดขึ้น
ต่อมา เมื่อนาโชมีร้านอาหารของตนเอง เขาได้นำอาหารนี้โปรโมทเป็นเมนูเด่นของร้าน ซึ่งก็ทำให้ได้รับความนิยมมากจนมันถึงกับถูกบรรจุไว้ในตำราทำอาหารสไตล์เม็กซิโกตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา
Sandwich แซนด์วิช..
ชื่ออาหารที่กำเนิดจากวงไพ่
แซนด์วิชจัดเป็นอาหารที่กินด้วยมือเปล่า (finger food) ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ ถือไปกินตรงไหนก็ได้ อาหารนี้มีจุดเริ่มต้นในโลกตะวันตกจนกลายเป็นสิ่งที่รู้จักกันทั่วโลกในปัจจุบัน
เมนูนี้ได้ชื่อตามจอห์น มองตากู ผู้เป็นเอิร์ลแห่งแซนด์วิชคนที่ 4 (John Montagu, 4th Earl of Sandwich, 1718-1792)
แม้เขาไม่ใช่คนที่คิดอาหารชนิดนี้ขึ้น เพราะอาหารที่ใช้ขนมปังประกบเนื้อหั่นเป็นชิ้นๆ อยู่ตรงกลางมีมานานแล้ว แต่สิ่งเหล่านั้นก็ยังไม่ได้ถูกเรียกว่าแซนด์วิช
ที่มาของชื่อแซนด์วิชนี้เกิดขึ้นเมื่อราวปีค.ศ. 1762 กล่าวกันว่า ท่านเอิร์ลเป็นนักนิยมเล่นพนันโดยเฉพาะไพ่ ท่านเอิร์ลรักการเล่นไพ่มาก รักชนิดที่เรียกว่าไม่ยอมเสียเวลาลุกไปกินอาหารเลย
ดังนั้นพอหิวท่านเอิร์ลจึงสั่งให้พ่อครัวทำอาหารมาให้กินโดยมีโจทย์คือทำอะไรก็ได้ให้มันเป็นอาหารที่ไม่ต้องมีส้อมกับมีดมาเกะกะโต๊ะ และไม่ให้ไพ่แสนรักนั้นต้องเปื้อนน้ำมันจากการหยิบจับอาหารด้วยมือเปล่า
พ่อครัวจึงทำเมนูนี้ตามความประสงค์ของท่าน ทีนี้พอเพื่อนผีพนันคนอื่นๆ เห็นเข้าก็อยากได้บ้างเลยบอกพ่อครัวว่า
“เอาเหมือนกับท่าน(เอิร์ลแห่ง)แซนด์วิชนี่แหล่ะ” (“the same as Sandwich!”)
ประโยคนี้เองจึงกลายเป็นที่มาของชื่ออาหาร “Sandwish” มาจนทุกวันนี้
โดยดังเดิมนั้น แซนวิชมีเครื่องประกอบไม่มากเท่าทุกวันนี้ แต่เมื่อมันกลายเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่ว พ่อครัวในที่ต่างๆ จึงเริ่มเพิ่มเครื่องประกอบอื่นๆ เข้าไป ไม่ว่าจะเป็นหัวหอมหั่นแว่น ผักสลัด มะเขือเทศ แตงดอง เนยถั่ว ชีส มัสตาร์ด ฯลฯ และพัฒนามันจนกลายเป็นเมนูที่แพร่หลายทั้งในยุโรป อเมริกาและทั่วทุกมุมโลก