5 คนชิมสุดแปลกในโลกโบราณ
.
คนชิมอาหารของฮิตเลอร์..
จีนใช้หนูชิมอาหารในงานกีฬาโอลิมปิก..
สุนัขนิวฟาวด์แลนด์ นักชิมของนโปเลียน..
กระต่ายของสตาลิม..
และสุภาพบุรุษท่อระบายน้ำของพระเจ้า Henry ที่ 8
.
การวางยาพิษในอาหารและเครื่องดื่มเรียกได้ว่าเป็นวิธี “ยอดฮิต” นับตั้งแต่โบราณมา ดังนั้นในโลกของอาหารการมีคนชิมอาหารที่จงรักภักดีและไว้วางใจได้จึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการอยู่รอดครับ
การเป็นคนมีอำนาจและมั่งคั่งไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนมักจะมีอาการ “นอนสะดุ้ง” ด้วยกันทั้งนั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะกลัวว่าความร่ำรวย อำนาจและทรัพย์สมบัติต่างๆ จะทำให้ตนตกเป็นเป้าการทำร้ายโดยเฉพาะการวางยาในอาหารที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้งในโลกยุคโบราณ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้มีอำนาจและเศรษฐีในอดีตจะต้องมี “คนชิม” อาหารและเครื่องดื่มที่ไว้วางใจได้
วันนี้ ‘นวัตกิน’ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ‘นักชิมส่วนตัว’ ของคนสำคัญต่างๆ มาให้อ่านกันครับ
เพื่อนยากของนโปเลียน
.
เดิมจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 (นโปเลียน โบนาปาร์ต) ดูจะไม่ชอบสุนัขพันธุ์ปั๊กของพระนางมารี อองตัวเน็ตเท่าไหร่นัก รวมถึงสุนัขพันธุ์นิวฟาวด์แลนด์ของอังกฤษด้วย แต่พระองค์ก็ต้องเปลี่ยนความคิดต่อสุนัขนิวฟาวด์แลนด์ร่างใหญ่เมื่อมันช่วยชีวิตพระองค์จากการจมน้ำระหว่างที่ถูกคุมขังบนเกาะเอลบา
นับแต่นั้นพระองค์โปรดให้หาสุนัขพันธุ์นี้มาเลี้ยงไว้และให้มันทำหน้าเป็น “คนชิม” อาหารด้วย เพราะรู้ดีว่าในเวลานั้นมีคนจำนวนมากต้องการลอบปลงพระชนม์พระองค์บนเกาะแห่งนั้น
สุนัขตัวนั้นเป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์เยลโลรีทรีฟเวอร์ (Yellow Retriever) หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า โกลเดนรีทรีฟเวอร์ กับพันธุ์สเปเนียล (spaniel) มันทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยและการชิมอาหารก่อนจักรพรรดิอย่างซื่อสัตย์เสมอมา และจากสัตว์รับใช้วันหนึ่งความผูกพันทำให้มันกลายเป็นเพื่อนของจักรพรรดิเรื่อยมากระทั่งนโปเลียนหลบหนีออกจากเกาะดังกล่าวในปี 1815
ปัจจุบันร่างสตัฟฟ์ของสุนัขตัวนี้แสดงไว้ที่โอเตล เดส์ แซงวาลีดส์ (Hôtel des Invalides) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์การทหารของฝรั่งเศส
กระต่ายของสตาลิน
.
“กระต่าย” ของสตาลิน ไม่ใช่สัตว์แต่เป็นคนครับ ว่ากันว่าผู้มีฉายาว่า “กระต่าย” นี้ คือ ซาชา เอกนาตาชวิลี (Sasha Egnatashvili) เป็นลูกพี่ลูกน้องกับโจเซฟ สตาลิน และเป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กของผู้นำคนสำคัญของสหภาพโซเวียตอีกด้วย
เมื่อเขาขึ้นอยู่อำนาจ สตาลินต้องหาคนที่เขาไว้วางใจได้มากที่สุดมาไว้รอบตัว ซาชาได้เป็นยศชั้นสูงในแผนกตำรวจลับและมีฉายาว่า “กระต่าย” ตามหน้าที่ในการชิมอาหารและเครื่องดื่มให้กับสตาลิน ไม่ว่าจะเป็นอาหารส่วนตัวในมื้อปกติไปจนถึงอาหารในงานเลี้ยงน้อยใหญ่กับผู้นำโลก
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อมีข่าวลือเกี่ยวกับการลอบสังหาร สตาลินเริ่มไม่ไว้วางใจคนรอบข้างโดยเฉพาะภรรยาของบรรดาคนใกล้ชิด เขาออกคำสั่งให้สังหารภรรยาของ “กระต่าย” ซึ่งยังคงทำหน้าที่ในการชิมอาหารเช่นเดิม แม้ภรรยาจะถูกจับกุมและประหารชีวิตในที่สุด กระต่ายยังติดตามรับใช้ชายผู้สั่งฆ่าภรรยาของเขาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
สตาลินตอบแทนความจงรักภักดีของเขาด้วยการมอบเหรียญตราและการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงาน อย่างไรก็ตาม ในช่วงบั้นปลายชีวิต เขาถูกใส่ร้ายและถูกจับส่งไปใช้แรงงานที่แหลมไครเมีย (Crimea) กระทั่งเสียชีวิตในปี 1948
สุภาพบุรุษแห่งท่อระบายน้ำ
.
หลายคนรู้จักกันดีว่าพระเจ้าเฮนรีที่ 8 กษัตริย์อังกฤษสมัยราชวงศ์ทิวดอร์นั้น นอกจากจะทรงเปลี่ยนพระมเหสีหลายครั้งแล้ว พระองค์ยังโปรดให้มีการจัดเลี้ยงด้วยอาหารแปลกๆ อย่างเนื้อวาฬ นกยูงไปจนถึงหางบีเวอร์และม้ามวัว เป็นต้น
น่าเสียดายที่เราไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคนที่ทำหน้าที่ชิมอาหารและเครื่องดื่มของพระองค์มากนัก เรารู้เพียงแต่ว่าคนชิมจะต้องคุกเข่าอยู่กับพื้นใกล้ๆ ที่ประทับตลอดเวลา แม้งานเลี้ยงจะยาวนานนับชั่วโมงก็หลบเลี่ยงไปไหนไม่ได้ ตำแหน่งดังกล่าวจึงถือเป็นงานหนักและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหากมีการวางยาพิษในอาหารและเครื่องดื่มเป็นคนแรก
ขณะเดียวกัน เราก็รู้ว่าพระเจ้าเฮนรีที่ 8 พระราชทานรางวัลพิเศษให้แก่คนชิมอาหารของพระองค์เป็นของสวยของงามจากต่างแดนอยู่เสมอ อย่างกรณีของวิลเลียม เบอร์รีแมน (William Berryman) ได้รับพระราชทานสัญญาเช่าร้านเหล้าและโรงแรมขนาดเล็ก ชื่อว่า le Rose super le Hope และโรงต้มเบียร์ในกรุงลอนดอน
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าบุคคลในตระกูลของจอห์น ดี (John Dee)โหรและจอมขมังเวทย์ที่ต่อมาได้เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ปรึกษาส่วนพระองค์ที่สมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 1 ไว้วางพระทัยมากที่สุดนั้น เคยรับใช้ในราชสำนักของพระบิดา (พระเจ้าเฮนรีที่ 8) มาก่อน เป็นไปได้ว่าบุคคลผู้นั้นคือบิดาของจอห์น ดี ซึ่งมีชื่อตำแหน่งแปลกๆ ว่า ‘สุภาพบุรุษแห่งท่อระบายน้ำ’ (gentleman sewer) ซึ่งหมายถึงตำแหน่งคนชิมอาหารและกำกับรักษาไวน์ของพระราชา นั่นเอง
คนชิมอาหารของฮิตเลอร์
.
มาร์ก็อต โวล์ก (Margot Wolk) กับหญิงสาวอีก 15 คน ทำหน้าที่เป็นคนชิมอาหารของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เธอเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวขณะที่คนอื่นๆ ถูกทหารโซเวียตสังหาร เธอรอดมาได้เพราะทหารเยอรมันผู้หนึ่งส่งเธอขึ้นรถไฟไปก่อนหน้าที่ทหารสัมพันธมิตรจะเข้ายึดกรุงเบอร์ลินไม่นาน หลังจากนั้นเธอรอดตายอีกครั้งเมื่อแพทย์คนหนึ่งซ่อนเธอระหว่างที่เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอส (SS) ของนาซีออกตามหาผู้รอดชีวิต
โวล์กเปิดเผยหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงหลายสิบปีว่าแต่ละวันการชิมอาหารจะเริ่มขึ้นราว 11-12 น. เจ้าหน้าที่จะลำเลียงจานผัก ซอส เส้นพาสต้าและผลไม้ต่างแดนเข้ามาไว้บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ “ไม่มีเนื้อสัตว์ เพราะฮิตเลอร์เป็นมังสวิรัติ” เธอกล่าว
หลังจากชิมอาหาร เมื่อพวกเธอยืนยันว่าอาหารเหล่านั้นไม่มีพิษแล้ว เจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสจะนำไปเสิร์ฟท่านผู้นำในกองบัญชาการต่อไป เธอเคยกล่าวติดตลกเกี่ยวกับความน่ากลัวของการชิมอาหารว่า
“ทุกครั้งที่เมื่อกินอาหารเข้าไป ก็จะมีคนรอดูกันว่าฉันจะตายหรือเปล่า”
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากตกอยู่ในภาวะอดอยากหิวโหยในช่วงสงคราม เธอถูกบังคับให้ต้องชิมอาหารหรูหราราคาแพง ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันนี้ทำให้ต่อมาเธอตกอยู่ในภาวะกลัวอาหารเรื้อรัง แต่หลังจากได้รับการบำบัดอยู่หลายปี ในที่สุดเธอก็กลับมากินอาหารได้ตามปกติอีกครั้ง
หนูในกีฬาโอลิมปิก
.
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2008 ความวิตกเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหาร ทำให้จีนต้องหามาตรการมาสร้างความเชื่อมันให้นักกีฬาและผู้มาร่วมงานอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเวรยามรักษาการณ์รอบพื้นที่ครัวตลอด 24 ชั่วโมง , การใช้คอมพิวเตอร์ติดตามควบคุมอุณหภูมิ รวมถึงการใช้ “หนู” ทำหน้าที่ชิมอาหารก่อนจัดลงจาน !!
บางคนอาจรู้สึกขยะแขยง แต่เรื่องนี้หน่วยงานด้านสุขภาพของเทศกาลนครปักกิ่งยืนยันว่าหนูเป็นสัตว์ที่ไวต่อสารพิษและสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ดังนั้นหากในอาหารมีพิษจะทำให้หนูแสดงอาการออกมาภายใน 17 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เร็วกว่าการทดสอบในห้องทดลองสำหรับปี 2008 เสียอีก
ไม่ใช่เพียงที่ปักกิ่งเท่านั้น ในการประชุมสุดยอดความร่วมมือของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกครั้งหนึ่งก็เคยมีการใช้หนูชิมอาหารและเครื่องดื่มที่จะเสิร์ฟให้ผู้มาร่วมงานเพื่อป้องกันการลอบใส่ยาพิษลงในอาหารมาแล้วด้วย