4 น้ำเมาโบราณที่คุณต้องทึ่ง

4 น้ำเมาโบราณที่คุณต้องทึ่ง
ไคคีออน ▪ เชเดห์ ▪เรสตินา ▪น้ำโสม


.
แม้ว่าในปัจจุบัน เราจะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วางจำหน่ายหลากหลายชนิดตั้งแต่สุรา ไวน์ เบียร์ เอล เหล้าหวาน ไปจนถึงเครื่องดื่มค็อกเทลต่างๆ มากมาย
แต่ที่จริงแล้ว มนุษย์เรานั้นมีหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ว่าพวกเรารู้จักผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มานานนับพันปีแล้ว เช่น เบียร์ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก เดิมเชื่อกันว่าอียิปต์เป็นกลุ่มแรกที่รู้จักหมักเบียร์ แต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีทำให้นักวิชาการส่วนหนึ่งหันมาเชื่อว่าเครื่องดื่มที่หมักจากธัญพืชกับยีสต์อาจเกิดขึ้นที่จีนก่อนที่อื่นๆ ก็ได้ เป็นต้น
วันนี้เป็นวันศุกน์แห่งชาติ ‘นวัตกิน’ เลยมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โบราณที่มีหลักฐานว่าคนในอดีตผลิตขึ้นมามาแนะนำกัน เราไปรู้จักเครื่องดื่มมึนเมาเหล่านี้กันครับโดยเฉพาะในมุมที่มันถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ตั้งแต่เพื่อการบวงสรวงสังเวยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมต่างๆ จนกระทั่งใช้เป็นยามากกว่าที่จะมีเพื่อปาร์ตี้แบบทุกวันนี้กันเลย

ไคคีออน (Kykeon)

ไคคีออนจัดเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอนที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ แม้กำเนิดและส่วนผสมของมันจะยังคลุมเครืออยู่แต่อย่างน้อยเรารู้ว่าไคคีออนทำขึ้นจากไวน์ ข้าวบาร์เลย์และชีส ที่เมื่อนำมาผสมกันจะกลายเป็น “น้ำยา” ที่เชื่อกันว่ามีสรรพคุณวิเศษ และยังเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมลึกลับ

โดยเฉพาะพิธีกรรมของเทพีเดมิเตอร์ (Demeter) ที่เมืองเอเลอีซิส (Eleusis) ที่เมื่อใครดื่มเข้าไปจะเข้าสู่ภวังค์และเกิดนิมิตรเห็นภาพต่างๆ ตามที่เทพเจ้าต้องการสื่อให้มนุษย์ทราบ

นักวิชาการส่วนหนึ่งเชื่อว่าไคคีออนมีส่วนผสมของธัญพืชที่ปล่อยให้ชื้นและขึ้นราเออร์ก็อต (ergot) ซึ่งมีพิษหลอนประสาท เพ้อคลั่ง ชักเกร็ง กล้ามเนื้อกระตุกและเนื้อตาย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับขนมปังบ้า (crazy bread) และโรคบ้าเต้น (dance mania) ในสมัยกลาง

เชเดห์ (Shedeh)
.
ส่วนผสมของเครื่องดื่มลึกลับจากอียิปต์โบราณชนิดนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักวิชาการว่าเป็นไวน์ที่ได้จากการหมักทับทิมหรือองุ่น หรือบางทีอาจเป็นการผสมไวน์จากทั้งสองแหล่งเข้าด้วยกันก็เป็นได้

ยิ่งกว่านั้น คำว่า shedeh ยังไม่มีคำแปลในภาษาอังกฤษปัจจุบัน อีกทั้งความรู้ของเราเกี่ยวกับเชเดห์มีจำกัดเพราะมีม้วนปาปิรุสเพียงฉบับเดียวเท่านั้นที่กล่าวถึงการต้มและกรองเชเดห์เอาไว้ แต่เอกสารดังกล่าวเองก็ชำรุดจนอ่านไม่ได้ ขณะเดียวกันเราก็มีหลักฐานจากแผ่นป้ายที่ติดอยู่บนไหดินเผาสองหูในสมัยฟาโรห์อาเคนาเตน (Akhenaten) ในช่วงปลายราชวงศ์ที่ 18 (ครองราชย์ประมาณปี 1353-1336 ก่อนคริสต์ศักราช)

โดยแผ่นป้ายดังกล่าวแสดงให้นักวิชาการเห็นว่าเครื่องดื่มในไหดังกล่าวต้องแตกต่างจากอีเรพ (irep) ซึ่งไวน์ทั่วไปที่ทำจากองุ่นแดง นอกจากนี้จารึกในวิหารสมัยหลัง ยังกล่าวถึงเชเดห์ว่าเป็นเครื่องสังเวยแก่เทพเจ้าและใช้ในพิธีกรรมทำมัมมีอีกด้วย

เรสตินา (Restina)
.
เรสตินามีประวัติความเป็นมาย้อนไปได้อย่างน้อย 2,000 ปี ในอดีตก่อนที่จะมีการคิดค้นขวดแก้ว ไวน์จะบรรจุไว้ในไหหรือโถดินเผาที่ใช้ยางไม้สนอะเล็ปโป (Aleppo Pine resin) ปิดผนึกเพื่อไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปทำปฏิกิริยากับไวน์

ยางไม้ชนิดนี้นอกจากจะช่วยยืดอายุการเก็บรักษาไวน์ให้นานขึ้นแล้ว ยังทำให้ไวน์ชนิดนี้มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวอีกด้วย แม้ในเวลาต่อมาชาวโรมันจะหันมาใช้ถังไม้สำหรับใช้บรรจุไวน์แทนการใช้ไหหรือโถดินเผาก็ตาม แต่รสชาติและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของไวน์ชนิดนี้ยังคงได้รับความนิยมในหมู่ชาวโรมันเรื่อยมาจนปัจจุบัน ซึ่งเมื่อกล่าวถึงเรสตินาก็จะหมายถึงทั้งไวน์ขาวและไวน์สีกุหลาบ (rosé) ที่ได้จากการหมักเปลือกองุ่นนั่นเอง

น้ำโสม (Soma)
.
ในคัมภีร์ฤคเวทของชาวอารยันปรากฏบทสวดหลายบทบรรยายถึงคุณสมบัติของโสมว่าช่วยชูกำลัง ทำให้มึนเมาและทำให้เกิดนิมิตร (ภาพหลอน) ได้เช่นเดียวกับเครื่องดื่มอีกหลายชนิด

คัมภีร์ดังกล่าวยังกล่าวถึงการเตรียมน้ำโสมว่าได้จากการนำลำต้นของไม้ชนิดหนึ่งที่ขึ้นบนภูเขามาคั้นน้ำ ซึ่งนักวิชาการในชั้นหลังสันนิษฐานว่าอาจเป็นเห็ดเมา พืชตระกูลกัญชา หรือป่านเหลือง (Ephedra)

ในวัฒนธรรมพระเวทและวัฒนธรรมโซโรอัสเตอร์ โสม หมายถึงทั้งพืช เครื่องดื่ม และยังเป็นบุคลาธิษฐานของเทพเจ้าที่คนไทยเรียกว่าพระโสมหรือพระจันทร์

ทั้งนี้ ตามคติอินเดียโบราณ ต้นโสมจะมีคุณภาพที่สุดหากเก็บในคืนพระจันทร์เต็มดวง น้ำโสมสีเหลืองทองเหมือนสีของพระจันทร์นั้นเป็นเครื่องดื่มที่ทวยเทพพากันดื่มกินทุกคืน ยกเว้นในคืนวันเพ็ญ แต่เพราะทวยเทพดื่มน้ำโสมมากน้อยต่างกัน พระจันทร์จึงเว้าแหว่งไปไม่เท่ากัน แต่ถึงแม้เทพทั้งหลายจะดื่มกินน้ำโสมมากเพียงใด พระจันทร์ก็จะกลับมาเต็มเสมอในคืนวันเพ็ญและพร้อมให้ดื่มกินอีกในคืนต่อไปๆ ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าหากมนุษย์ได้ดื่มน้ำโสม ก็เชื่อว่าอาจจะได้รับความเป็นทิพย์เช่นเดียวกับเทพเจ้าด้วย

Related Posts