เรื่องเล่าหลากหลายใน “กาแฟนานาชาติ”

เรื่องเล่าหลากหลายใน “กาแฟนานาชาติ”
—-
เคยนึกกันเล่นๆ มั้ยครับว่า..ชาวแอฟริกันคนแรกที่นำเมล็ดของผลไม้ป่าชนิดหนึ่งมาลองชงเป็นเครื่องดื่มกินคงไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งในอนาคต เครื่องดื่มของเขาจะกลายเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

และมากกว่านั้น..มันยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วทุกทวีปจำนวนหลายพันหมื่นล้านคนเสียด้วย

ครับ , เรากำลังพูดถึง “กาแฟ”

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และไม่ว่ากาแฟเดินทางไปที่ไหน ที่แห่งนั้นก็จะมีผู้คิดค้น “นวัตกิน” ใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อปรุงแต่งสร้างสรรค์รสชาติของมันให้แปลกแตกต่างออกไป

เพื่อให้ถูกลิ้นคนในท้องถิ่นบ้าง เพื่อค้นหาสูตรสร้างสรรค์ใหม่ๆ บ้าง มากมายจนเกิดกลายเป็นวัฒนธรรมกาแฟที่หลากหลายตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก

วันนี้เพจ “นวัตกิน” ของเรามาชวนทุกคนไปรู้จักกาแฟในวัฒนธรรมต่างๆ รอบโลกกันครับ

กาแฟอาหรับ
—-
ดินแดนตะวันออกกลางคือสถานที่ให้กำเนิดวัฒนธรรมการดื่มกาแฟ คำว่ากาแฟ หรือ Coffee นั้นมาจากคำว่า Qahwa ในภาษาอารบิกนั่นเอง มีหลักฐานบันทึกไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ว่า ชาวอาหรับเป็นชนชาติแรกที่คั่วเมล็ดกาแฟ และชงกาแฟแบบที่เราชงกันในปัจจุบัน

ในการชงกาแฟอาหรับ เมล็ดกาแฟจะถูกนำไปคั่วที่อุณหภูมิ 165 – 210 องศาเซลเซียส โดยอาจอาจเติมกระวานเพื่อเพิ่มกลิ่นรสเผ็ดร้อน จากนั้นนำไปบด แล้วผสมน้ำร้อนโดยไม่ผ่านการกรอง ก่อนจะเสิร์ฟในหม้อต้ม กาแฟหน้าตาสวยงามที่เรียกว่าดาลลาห์ (Dallah) กาแฟที่ได้ออกมาจะมีรสเข้มข้นมาก จึงมักรินใส่แก้วทีละนิดเท่านั้น

ชาวอาหรับไม่นิยมใส่น้ำตาลในกาแฟ แต่จะดื่มกาแฟคู่กับของหวานที่มีรสหวานจัด เช่น ผลไม้แห้ง เพื่อขับเน้นรสขมของกาแฟให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ความนิยมการดื่มกาแฟของชาวอาหรับ ทำให้มีการเปิดร้านกาแฟหรือ Coffeehouse ขึ้นด้วย โดยร้านกาแฟเหล่านี้ไม่เพียงขายกาแฟ แต่ยังเป็นสถานที่ที่ผู้คนไปพบปะพูดคุย สูบบารากู่ หรือเล่นเกมกระดานต่างๆ ร่วมกันซึ่งฟังดูแล้วก็แทบไม่ต่างจากร้านกาแฟในปัจจุบันเลยสักนิด

บูนนา (Bunna)
—-
แม้ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่คอกาแฟจำนวนมากเชื่อว่า ชาวเอธิโอเปียนคือชนกลุ่มแรกที่เริ่มดื่มกาแฟ เพราะต้นกาแฟเป็นพืชประจำถิ่นของประเทศเอธิโอเปีย

การดื่มกาแฟของชาวเอธิโอเปียนได้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นพิธีกรรมที่มีชื่อว่า “บูนนา” ซึ่งมักจะจัดขึ้นอย่างน้อยวันละครั้ง เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในชุมชน พิธีบูนนาจะจัดขึ้นที่บ้านของเจ้าภาพ ผู้ชงกาแฟ ซึ่งต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น จะนำเมล็ดกาแฟสดที่ยังเป็นสีเขียวลงไปคั่วในกระทะจนมีสีเข้มและมีกลิ่นหอม จากนั้นนำเมล็ดกาแฟมาบดด้วยครกไม้ แล้วใส่ลงในกาน้ำร้อน ก่อนจะเสิร์ฟในถ้วยกระเบื้องเล็กๆ ที่ไม่มีหูจับ โดยอาจเติมน้ำตาลและสมุนไพรอื่นๆ ลงไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ

พิธีบูนนาจะใช้เวลาราวหนึ่งถึงสองชั่วโมงถือเป็นประสบการณ์ที่ผู้เข้าร่วมจะได้เห็นการชงกาแฟแบบดั้งเดิมอย่างครบถ้วนทุกกระบวนการ

เอสเพรสโซ่
—-
เอสเพรซโซ่คือนวัตกินที่เปลี่ยนวิธีการชงกาแฟให้เข้าสู่ยุคใหม่ โดยใช้การอัดน้ำร้อนแรงดันสูงผ่านเมล็ดกาแฟที่คั่วบดแล้ว เพื่อสกัดเอารสชาติของกาแฟออกมาให้มากที่สุด ซึ่งนอกจากจะได้กาแฟเข้มข้นสีดำสนิทแล้ว ยังทำให้ได้ครีมหรือฟองที่เกิดจากน้ำมันในเมล็ดกาแฟด้วย ซึ่งมีแต่วิธีการชงแบบเอสเพรสโซ่เท่านั้นที่ทำได้

เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นในปี 1884 โดยอันเจโล โมรีออนโด ชาวเมืองตูริน ประเทศอิตาลี่ อุปกรณ์ต้นแบบชิ้นนี้ก็ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่หน้าตาทันสมัยอย่างที่เราเห็นตามร้านกาแฟในปัจจุบัน

ในการสั่งเอสเพรสโซ่ เราสามารถเลือกปริมาณเป็นช็อตได้ มีทั้งแบบซิงเกิ้ลช็อต (ใช้กาแฟ 7 กรัม) ดับเบิ้ลช็อต (ใช้กาแฟ 14 กรัม) และทริปเปิ้ล (ใช้กาแฟ 21 กรัม) โดยนิยมดื่มแบบไม่ใส่น้ำตาล นอกจากนี้ เอสเพรสโซ่ยังใช้เป็นเบสของกาแฟสูตรอื่นๆ เช่น คัปปุชชีโน่ มักคิอะโต้ และลาเต้ ด้วย

แฟรปเป้ (Frappé)
—-
เพราะฤดูร้อนที่ประเทศกรีซนั้นร้อนจัด ชาวกรีกจึงได้สร้างสรรค์เครื่องดื่มเย็นๆ ขึ้นมามากมายหลายสูตร รวมถึงกาแฟเย็นยอดนิยมอย่างแฟรปเป้ด้วย

แฟรปเป้แบบที่เราดื่มกันในปัจจุบันนั้น ได้รับการคิดค้นขึ้นแบบไม่ตั้งใจในปี 1957 เมื่อพนักงานของเนสท์เล่คนหนึ่งเกิดอยากดื่มกาแฟหลังอาหารกลางวัน แต่เขาไม่สามารถหากาต้มน้ำร้อนได้ พนักงานหัวใสคนนี้จึงได้ลองนำกาแฟผง น้ำเย็น และน้ำแข็งใส่ในเชกเกอร์ (อุปกรณ์ทำค็อกเทล) แล้วเขย่าให้เข้ากัน

ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคือกาแฟเย็นที่เย็นจัดและมีฟองหนาหนุ่ม ซึ่งถูกใจชาวกรีกเป็นอย่างมาก เมื่อทางเนสท์เล่รู้เข้า ก็ได้โปรโมตเครื่องดื่มชนิดนี้จนเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก

แฟรปเป้ทุกวันนี้มีส่วนผสมและวิธีการทำที่หลากหลายมากขึ้น โดยนิยมใช้เครื่องปั่นแทนการเขย่าด้วยเชกเกอร์อย่างในอดีต

-เกร็ดนวัตกิน-
เนื่องจากประเทศกรีซเป็นเจ้าแห่งกาแฟเย็น ที่นี่จึงมีกาแฟเย็นแทบทุกชนิด รวมถึงสิ่งที่เป็นดราม่าของคอกาแฟในบ้านเราบ่อยครั้งอย่างเอรสเพรสโซ่เย็นด้วย โดยเอสเพรสโซ่เย็นของกรีซนั้นมีชื่อว่า เฟรดโดเอสเพรสโซ่ ชงโดยนำกาแฟเอรสเพรสโซ่ใส่ลงภาชนะโลหะ ใส่น้ำแข็ง อาจจะใส่น้ำตาลหรือไม่ก็ได้ แล้วคนเร็วๆ จนเอรสเพรสโซ่เย็นจัด

จากนั้นจึงเสิร์ฟในแก้วใสน้ำแข็ง วิธีการนี้จะทำให้เอรสเพรสโซ่เย็นมีฟองนุ่มนวลสวยงาม

กาแฟไอริช
—-
เมื่อกาแฟเดินทางไปถึงถิ่นกำเนิดของวิสกี้อย่างประเทศไอร์แลนด์ คงเลี่ยงไม่ได้ที่เครื่องดื่มสองชนิดนี้จะผสมรวมกันในแก้วเดียว

กาแฟไอริชแบบเราคุ้นเคยนั้น ถูกเสิร์ฟเป็นครั้งแรกในปี 1942 ที่ร้านอาหารในสนามบินน้ำของเมืองฟอยส์ ประเทศไอร์แลนด์ เชฟของร้านแห่งนั้นได้เห็นผู้โดยสารจำนวนมากหนาวสั่น เพราะต้องก้าวออกจากเครื่องบินมาสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นของไอร์แลนด์ เขาจึงเสิร์ฟกาแฟร้อนที่ใส่น้ำตาล ครีม และวิสกี้ให้กับผู้โดยสาร เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้พวกเขา

หลังจากนั้นเชฟคนดังกล่าวได้ย้ายไปทำงานที่สหรัฐอเมริกา และได้นำกาแฟไอริชไปเผยแพร่ที่นั่นด้วย ทำให้กาแฟไอริชเป็นที่รู้จักของชาวโลกมาจนถึงปัจจุบัน

กาแฟไอริชนั้นนิยมเสิร์ฟในแก้วใสมีก้าน ถือเป็นเครื่องดื่มไม่กี่ชนิดที่มีให้ดื่มทั้งในร้านกาแฟและบาร์เหล้า

กาแฟเวียดนาม
—-
อีกหนึ่งประเทศที่สร้างนวัตกินด้านกาแฟอย่างเป็นเอกลักษณ์ก็คือเวียดนาม ซึ่งไม่เพียงปลูกกาแฟอย่างจริงจังจนกลายเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ของโลก แต่ยังคิดค้นวิธีชงกาแฟ และประดิษฐ์อุปกรณ์ชงกาแฟของตัวเองขึ้นมาด้วย

การชงกาแฟเวียดนามจำเป็นต้องมี “ฟิน” (Phin) ซึ่งเป็นที่กรองกาแฟทำจากโลหะ วิธีการชงเริ่มจากเทนมข้นหวานลงในแก้วใส (ในอดีตนั้น ผลิตภัณฑ์จากนมเป็นของหายากในเวียดนาม จึงนิยมให้นมข้มหวานในการชงกาแฟ) นำกาแฟที่บดแล้วใส่ในฟิน นำฟินวางครอบบนปากแก้ว เทน้ำร้อนลงไป รอให้กาแฟค่อยๆ หยดลงไปในแก้วจนหมด แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นสามารถดื่มเลยทันที หรือเทลงในแก้วใส่น้ำแข็งแล้วดื่มเป็นกาแฟเย็นก็ได้

นอกจากนี้ ยังมีวิธีชงกาแฟเวียดนามโดยใส่ไข่แดงของไข่ไก่ผสมกับกาแฟและนมข้มหวาน ซึ่งจะทำให้ได้กาแฟที่รสสัมผัสเนียนนุ่มมากยิ่งขึ้นด้วย

Related Posts