Articles
337
วิธีกินแปลกเพื่อลดน้ำหนักในอดีต
….
▪เคี้ยวอาหาร 100 ครั้ง/นาที/ก่อนกลืน
▪ช่างไม้นาม Banting บิดาแห่งโลว์คาร์บที่โลกลืม
▪คอลลาเจนกับเรื่องสยองที่ต้องระวัง..
▪สารหนูยาลดความอ้วนยุคแรก
ปัญหาโลกแตกของมนุษย์ทุกยุคสมัยคือ ‘รูปร่าง’ ครับ และคติแห่งรูปร่างที่งดงามนั้นก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด
ยุคหนึ่งคนอ้วนแปลว่าสวย ยุคต่อมาต้องบอบบางเท่านั้นจึงดูดี บางยุคอ้วนแปลว่าแข็งแรง แต่บางสมัยผอมต่างหากที่ไร้โรคภัย ยุบหนอ..พองหนอ..สลับกันไปตามแต่ความเชื่อและความรู้ของสังคมนั้น
พูดถึงความอ้วน ‘ความอ้วน’ นั้นเป็นปัญหาที่ไม่ได้เพิ่งมีในยุคนี้ แต่มีมาเรื่อยๆ หลายยุคสมัย และก็แน่นอนว่ามนุษย์เรานั้นเป็นทั้งนักตามใจปากและจอมแก้ไขปัญหา ดังนั้นขณะที่เรากลัวความอ้วน แทนที่เราจะแก้มันอย่างตรงไปตรงมา โดยการกินแต่พอดี เราก็กลับสรรหาวิธีควบคุมหรือลดน้ำหนักแทน
และในอดีตที่ผ่านมาก็มีอาหารลดอ้วน ยาลดอ้วน รวมถึงวิธีการกินหลายชนืดครับที่เราคิดค้นกันขึ้นมา ซึ่งบางอันก็แปลกพอตัว บางอันกลายเป็นอันตราย บางอันล้ำอนาคตสุด ในขณะที่บางอันก็แทบไม่น่าเชื่อว่าจะทำไปได้เหมือนกัน
วันนี้ ‘นวัตกิน’ เลยเอาเรื่องกินแปลกกินไปได้ที่ทำเพื่อลดอ้วนมาฝากครับ
สารหนู (arsenic) ยาลดความอ้วนยุคแรก
ความคิดที่ว่า “อยากกินต้องได้กิน” ถือเป็นความสุขนั้น อยู่คู่กับมนุษย์เรามานานแล้ว แต่ผลของการตามใจปากก็ย่อมไม่พ้นน้ำหนักเพิ่ม หรืออ้วน นั่นเอง ยิ่งคนที่ไม่ค่อยมีกิจกรรมทำระหว่างวัน ไม่ได้ออกกำลังกาย แบบที่เรียกว่า กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน หรือ นั่งกินนอนกินนั้น ความอ้วนย่อมมาเยือนอย่างรวดเร็วครับ
ย้อนไปในศตวรรษที่ 19 เมื่อผู้คนในยุคนั้นเจอกับปัญหาน้ำหนักเกินหรือความอ้วนกันเยอะมาก ค่านิยมที่เริ่มหันมาชื่นชอบความผอมจึงแข็งแรงขึ้น คติที่ว่าต้องมีหุ่นดีบอบบางถึงจะสวยนั้นมให้เกิดธุรกิจยาลดความอ้วนขึ้นมากมาย
แต่เดี๋ยวก่อน…
ยาลดน้ำหนักยุคนั้นไม่ได้ปลอดภัยเหมือนเดี๋ยวนี้นะครับ เพราะส่วนผสมสำคัญในยาลดความอ้วนเมื่อราว 200 ปีก่อน คือ สารหนู (arsenic) และ สตริกนิน (strychnine) ที่ถูกใช้โฆษณาว่าช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงาน
สารหนูและสตริกนินจัดได้ว่าเป็นสารพิษมากที่ทำให้ถึงตายได้ทั้งคู่
และแม้จะมีในยาลดความอ้วนยุคก่อนไม่มาก แต่ก็ยังถือว่าเป็นอันตรายอยู่ดี เพราะหลายๆ คนที่ต้องการรูปร่างใหม่หลายๆ คนมีการอัดยาลดความอ้วนเข้าไปจนเกินกว่าปริมาณที่กำหนด
ผลที่ตามมาก็อย่างที่ทราบละครับ ทั้งสารหนูและสตริกนินทำหน้าที่ของมันอย่างเคร่งครัด ด้วยการส่งคุณๆ เหล่านั้นไปมีรูปร่างใหม่จริงๆ แต่เป็นโศกนาฎกรรมแทน
เคี้ยวอาหาร100 ครั้ง /นาที เพื่อสิ่งที่ดีที่สุด
..
มีคนบอกว่าการเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ช่วยให้ระบบย่อยอาหารไม่ต้องทำงานหนักมาก ร่างกายดูดซึมได้เร็ว ได้สารอาหารครบถ้วน ท้องไม่อืด
เรื่องนี้ คุณโฮเรซ เฟลตเชอร์ หรือฉายา “นักเคี้ยวผู้ยิ่งใหญ่” (The Great Masticator) เสนอไว้ในเมื่อปี 1895 ว่าทุกคนต้องเคี้ยวอาหารให้มากขึ้น เขาเชื่อว่าส่วนสำคัญที่สุดของโภชนาการก็คือการเตรียมอาหารให้ถูกต้องตั้งแต่ในปากเพื่อเข้าสู่การย่อยอย่างสมบูรณ์ต่อไป
แล้วให้มากขึ้นน่ะ ยังไงเหรอ
เฟลตเชอร์บอกว่าการเคี้ยวอาหารที่เพอร์เพ็คที่สุดก็คือ 100 ครั้งต่อนาที เพื่อให้อาหารแหลกละเอียดกลายเป็นน้ำจนเกือบจะซึมเข้าไปในกระพุ้งแก้มได้ จนเราแทบไม่ต้องกลืนลงไปในท้องเลย (เขาว่างั้น)
นี่จึงเป็นที่มาของ “ลัทธิเฟลตเชอร์” ที่เป็นคำเรียกแบบเสียดสีถึงคนที่กว่าจะกลืนได้แต่ละคำๆ ก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียดเสียก่อน ซึ่งตามหลักการของลัทธินี้เขายืนยันว่าคุณจะกินอะไรก็ได้ตามใจต้องการ ขอแค่เคี้ยวมันให้แหลกละเอียดเป็นน้ำในปากให้ได้ก็แล้วกัน
ปรากฏว่าพอคำแนะนำของเฟลตเชอร์เผยแพร่ออกไป คนให้การต้อนรับดีมาก ถึงกับเวลาไปกินอาหารกับใครก็จะนั่งนับว่าเขาหรือเธอคนนั้นเคี้ยวอาหารกี่ครั้งก่อนจะกลืนแล้วกินคำต่อไป ซึ่งถ้ายังเคี้ยวไม่มากพอละก็ สาวกลัทธิเฟลตเชอร์ก็มีสารพัดวิธีเตือนให้คนคนนั้นเคี้ยวให้ครบ เรียกว่ากว่าจะกินได้แต่ละคำนี่เมื่อยกรามกันไปตามๆ กันเลยทีเดียว
Banting บิดาแห่ง Low-Carb ที่โลกลืม
..
ช่างไม้ชาวอังกฤษนามว่า วิลเลียม แบนติ้ง วัย 65 ปี รู้สึกว่าตัวเองตุ้ยนุ้ยขึ้นเรื่อยๆ จนทนไม่ไหว แบนติ้งมีส่วนสูงเกือบ 170 เซนติเมตร แต่ไม่ว่าจะทำยังไง น้ำหนักก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวๆ 90-91 กิโลกรัม ไม่มีท่าทีว่าจะลดลงไปกว่านี้ได้เลย
หลังจากเขาทดลองวิธีลดน้ำหนักสารพัดแบบเท่าที่จะสรรหามาลองทำแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล ทั้งว่ายน้ำ วิ่ง เดิน แถมอดอาหารจนต้องเข้าโรงพยาบาลตั้งหลายครั้ง จนเกือบจะถอดใจ..
แต่แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่ได้คุยกับหมอที่รู้จักกัน แบนติ้งก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา นี่แหล่ะ! ..ใช่เลย..สูตรอาหารลดน้ำหนักที่เหมาะกับเขามากที่สุด คือ กินขนมปังได้ไม่เกิน 3 ออนซ์ หรือ 85 กรัมต่อวัน , กินโปรตีนให้มากๆ จะเป็นเนื้อสัตว์อะไรก็ได้ , กินผักทุกชนิดยกเว้นมันฝรั่ง กินพุดดิ้ง แต่ไม่กินพาสต้า , ดื่มชาโดยไม่เติมนมหรือน้ำตาล และ เบียร์ แชมเปญ ดื่มได้แค่ 1 ออนซ์ หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ฯลฯ
คุณๆ หลายคนคงคุ้นๆ ใช่ไหมครับว่า…นี่มันสูตรอาหารโลว์คาร์บ (Low-carb) หรืออาหารคาร์โบไฮเดรทต่ำที่กำลังเป็นเทรนด์อยู่นี่นา..
แบนติ้งเป็นผู้มาก่อนกาลจริงๆ หรือจะเรียกว่าเกิดผิดยุคเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่ช่างไม้รายนี้เสนอมานั้นคือราวๆ ปี 1868 หรือร้อยกว่าที่แล้ว แถมเขายังเคยออกหนังสือชื่อ Letter on Corpulence (ข้อเขียนเรื่องความอ้วน) เล่าเรื่องการลดน้ำหนักและความสำเร็จของเขาจากการใช้สูตรนี้อีกด้วย
วิธีลดความอ้วนแบบที่แบนติ้งเสนอ กลายเป็นที่นิยมกว้างขวาง แม้เขาจะเสียชีวิตในปี 10 ปีหลังจากคิดสูตรนี้ขึ้นมาได้ (ไม่มีการยืนยันว่าสูตรนี้เกี่ยวแค่ไหน) แต่วิธีการและชื่อเสียงของเขายังคงเป็นที่รู้จัก
ในยุคนั้น นอกจากแบนติ้งได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของอาหารโลว์คาร์บแล้ว ชื่อสกุลของเขายังกลายเป็นคำติดปากคนเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เช่น ถ้าเพื่อนชวนกินอาหารแต่คุณกำลังลดน้ำหนัก ก็ต้องพูดว่า No, thanks. I’m banting. เป็นต้น
นอกจากนี้ในประเทศสวีเดน ยังคงใช้คำว่า bant ที่หมายถึงการลดน้ำหนักอยู่จนถึงปัจจุบันด้วย
คอลลาเจนกับเรื่องสยองที่ควรระวัง..
..
ขึ้นชื่่อว่าอาหารลดน้ำหนักตามเทรนด์การดูแลสุขภาพ ใครก็ต้องนึกว่าทำขึ้นมาจากส่วนผสมอย่างดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยเผาผลาญไขมันได้ตามที่ต้องการ ใช่ไหมครับ อย่างคอลลาเจนที่หลายคนนิยมกันว่าช่วยชะลอวัย แก้หน้าโทรม บำรุงผิว บ้างก็ว่าช่วยให้ผิวขาวและรักษาโรคข้อเสื่อม
แต่ทราบไหมว่าเมื่อสัก 40 กว่าปีก่อน ในปี 1976 สินค้าเครื่องดื่มคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมมากในเวลานั้น กลับทำให้หลายคนขนลุก!
นายแพทย์โรเจอร์ ลินน์ เขียนหนังสือชื่อ The Last Chance Diet ที่เสนอแนวคิดว่าต้องปล่อยให้ร่างกายหิวเต็มที่ แล้วให้กินแต่เครื่องดื่มให้พลังงานต่ำที่ทำจากคอลลเจนเท่านั้น จากนั้นเขาก็ทำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชื่อ Prolinn Diet ที่เป็นคอลลาเจนสกัดออกวางจำหน่ายพร้อมโฆษณาว่าดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่ทำให้ต้องร้อง “ยี้” ก็เพราะคอลลาเจนของคุณหมอลินน์นั้นได้มาจากแหล่งต้นทางที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่ นั่นคือ พวกกีบและหนังสัตว์ที่ได้จากโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งแน่นอน ที่มาของคอลลาเจนที่ว่านี้ ผู้ผลิตไม่ยอมเปิดเผยเด็ดขาด
แต่ความลับก็ไม่มีในโลกหรอกครับ พอ Prolinn วางจำหน่ายได้ไม่นาน ปรากฏว่ามีคนถึง 58 คนที่ซื้อผลิตภัณฑ์นี้ไปกินแล้วเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย แต่อย่าเพิ่งคิดว่าโปรตีนคุณภาพต่ำจากคอลลาเจนสุด “ยี้” เป็นต้นเหตุนะครับ
จริงๆ แล้วสาเหตุสำคัญมาจากการ “อดอาหาร” ซึ่งเป็นคำแนะนำเบื้องต้นของคุณหมอลินน์ ทีนี้ พอคนอดอาหารก็ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ การกินผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามิน แร่ธาตุและเกลือแร่ต่ำเข้าไปไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ต่อมาเมื่อมีประกาศให้ผลิตภัณฑ์นี้ไม่ใช่สารทดแทนอาหารก็เลยทำให้กระแสกินคอลลาเจนแก้หิวค่อยๆ ซาไป
——–
ทุกวันนี้เราโชคดีที่เทรนด์การกินแปลกๆ แบบที่เล่ามา หลายอย่างไม่ได้รับความนิยมก็หายไป หลายอย่างกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายจนถูกห้ามใช้ สิ่งที่จะช่วยให้เรามั่นใจในการกินอาหารได้ก็คือรู้จักกินอย่างพอเหมาะ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป อร่อยได้แต่ไม่ตามใจปาก น่าจะเป็นข้อคิดที่ดีที่สุดที่ได้จากตอนนี้นะครับ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า สวัสดีครับ