Articles
3,304
Story Of Mai Taii
ไหมไทย..ค็อกเทลที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไทยแลนด์
….
คืนนี้เป็นคืนวันศุกร์..! ไม่รู้ว่าชาวนวัตกินมีใครชอบออกไปหาอะไรดื่มข้างนอกบ้างหรือเปล่าครับ ถ้ามี..ก่อนออกไปย่ำราตรีค่ำคืนนี้ เรามี “เรื่องเล่า” ของค็อกเทลมาเล่าให้ฟังเป็นการอุ่นเครื่องเล่นๆ ครับ
แน่นอน.. ในบรรดาเครื่องดื่มค็อกเทลยอดนิยมตลอดกาล เชื่อว่าย่อมต้องมี Mai Tai หรือที่คนไทยเรียกว่า “ไหมไทย” รวมอยู่ด้วย…
แต่ทราบไหมว่า เครื่องดื่มค็อกเทลสูตรนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผ้าไหมหรือเมืองไทยเลยแม้แต่นิดเดียว…
ในทางกลับกัน ค็อกเทลนี้กลับไปในภาพยนตร์ชื่อดัง Blue Hawaii ที่ เอลวิส เพรสลีย์ นำแสดง ซึ่งเป็นที่มาของเพลงอมตะอย่าง Can’t Help Falling in Love อีกด้วย
วันนี้ “นวัตกิน” จะพาคุณไปรู้จักกับกำเนิดของหนึ่งในเครื่องดื่มค็อกเทลยอดนิยมที่ชื่อไหมไทยครับ แต่ก่อนอื่น เราไปทำความรู้จักค็อกเทลกันก่อนนะครับ
—–.
1. Cock tail
“ค็อกเทล” เป็นชื่อของเครื่องดื่มชนิดหนึ่งใช้เหล้าอ่อน ๆ หลายชนิด น้ำเชื่อม น้ำแข็ง เป็นต้น เขย่าผสมรวมกันในภาชนะ อาจใส่น้ำผลไม้ หรือเนื้อผลไม้เพิ่มรส และสีสัน นิยมดื่มก่อนอาหาร
ส่วนตำนานที่มาของค็อกเทลนั้น บ้างก็ว่ามาจากคำว่า ก็อกแตล (coquetel) ในภาษาฝรั่งเศสซึ่งหมายถึงเครื่องดื่มที่ทำจากเบียร์ เหล้าและน้ำผึ้ง ในเวลาต่อมาก็ผสมเหล้าที่ใส่เครื่องเทศ ไวน์และน้ำผลไม้ กับอีกทางหนึ่งว่าอาจมาจากการประดับแก้วเครื่องดื่มด้วยขนหางไก่ตัวผู้ หรือ cock tail ก็มี
.
2. ชื่อนั้นสำคัญไฉน
คำว่า Mai Tai ไม่ใช่คำว่า ไหมไทย อย่างที่เคยเข้าใจกันนะครับ แต่คำคำนี้มาจากภาษาตาฮิติทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ว่า maita’i อ่านว่า ไมตาอิ หมายถึง ดีมาก ยอดเยี่ยม หรือ วิเศษสุด
ส่วนคำว่า Mai Tai จะเพี้ยนเป็น “ไหมไทย” เมื่อไหร่นั้น เรายังไม่มีหลักฐานแน่ชัดครับ แต่ที่แน่ๆ คนไทยเราก็เก่งไม่ใช่เล่น เพราะไหนๆ ก็เปลี่ยนชื่อให้ฟังดูเป็นไทยได้รื่นหูแล้ว เราก็ปรับสูตรเขาอีกเล็กน้อย ด้วยการเปลี่ยนเหล้ารัมสีดำ (dark rum) ของเดิมเป็นเหล้าแม่โขงซึ่งจัดเป็นเหล้ารัมที่มีรสชาติโดดเด่นและเป็นแบรนด์ดังของไทยแทนซะเลย
(ส่วนเรื่องรสชาตินั้นแน่นอนว่ามันย่อมแตกต่างออกไปจากต้นฉบับบ้างล่ะครับ แต่จะเป็นไรไป เพราะมันก็กลายเป็นของแบบไทยๆ แล้วนี่นา)
.
3. ใครคือคนคิดสูตรกันแน่
คนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้คิดเครื่องดื่มสูตรนี้ขึ้นมา มีถึง 2 คน คือ วิกเตอร์ จูลส์ เบิร์จรอน (Victor Jules Bergeron) เจ้าของร้านอาหาร Trader Vic’s ที่เมืองโอ๊กแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่อ้างว่า Mai Tai เป็นผลงานการประดิษฐ์คิดค้นของเขาเมื่อปี 1944
ส่วนอีกคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้กำเนิดค็อกเทลสูตรนี้ ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล นั่นคือ ดอนน์ บีช (Donn Beach) เจ้าของร้าน Trader Vic’s คนเดิมก่อนที่เบิร์จรอนจะเข้ามาบริหาร บีชบอกว่าเขาทดลองผสมจนได้สูตร Mai Tai เมื่อปี 1933 ก่อนหน้าเบิร์จรอตั้ง11ปี
ถึงจะยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่เวลาพูดถึงค็อกเทล Mai Tai ก็มักจะยกเครดิตให้กับเบิร์จรอน ถึงกับมีเรื่องเล่าว่า เมื่อเขาทดลองผสมเหล้ารัมกับส่วนผสมต่างๆ ให้เพื่อนชาวตาฮิติชิมดู เพื่อนคนนั้นถึงกับอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “Maita’i roa ae” หรือ “ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก”
.
4. สูตรและส่วนผสมของ ไหมไทย?
สูตร Mai Tai ที่ผสมกันอยู่ในปัจจุบันมีที่มาจากสูตรของร้าน Trader Vic’s โดยส่วนผสมสำคัญๆ ที่ขาดไม่ได้เลย ประกอบด้วย
– เหล้ารัมที่กลั่นจากอ้อยหรือกากน้ำตาล (โมลาส) ที่มีรสชาติหอมหวานและมีดีกรีสูงถึง 40%
– น้ำมะนาว น้ำเชื่อมออร์จีท (orgeat syrup) ที่ให้กลิ่นอัลมอนด์และดอกกุหลาบ
– เหล้าหวานกลิ่นส้ม (orange liqueur) หรือเหล้าหวานกลิ่นส้มกือราเซา (orange curaçao)
– จากนั้นก็เป็นส่วมผสมรองๆ ที่ปรับเปลี่ยนไปได้ เช่น น้ำส้ม น้ำเกรปฟรุต น้ำทับทิม เหล้าหวานฟาร์เลอร์นัม เป็นต้น
โดยเบิร์จรอนเคยเขียนอธิบายไว้ว่าเขาเลือกใช้เหล้ารัมจากจาเมก้า (Jamaica) และจากเกาะมาร์ตินิค (Martinique) ในทะเลแคริบเบียน
ส่วนสูตร Mai Tai ที่สมาคมบาร์เทนเดอร์นานาชาติ (International Bartenders Association หรือ IBA) รับรองนั้น ประกอบด้วย รัมสีขาว รัมสีดำ เหล้าหวานกลิ่นส้มกือราเซา น้ำเชื่อมออร์เก็ตและน้ำมะนาว เขย่ากับน้ำแข็งแล้วเทลงแก้วร็อกหรือแก้ววิสกี ใช้ชิ้นมะนาวฝานกับใบเปปเปอร์มินต์ หรือบางทีก็มีชิ้นสับปะรดตกแต่งให้สวยงาม แล้วเสิร์ฟพร้อมหลอด
.
5. Elvis &Blue Hawaii..ไหมไทยจึงดังไปทั่วโลก
แม้ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปว่าใครเป็นผู้กำเนิดค็อกเทล Mai Taiแต่ที่แน่ๆ คือค็อกเทลสูตรนี้เกิดขึ้นในบรรยากาศวัฒนธรรมติกิ (tiki culture) ที่เป็นแฟชั่นการตกแต่งร้านอาหาร ผับ บาร์ต่างๆ ให้ได้บรรยากาศแบบหมู่เกาะทะเลใต้ด้วยต้นมะพร้าว มีกระท่อมมุงด้วยหญ้าหรือฟาง ตกแต่งร้านด้วยข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนหน้ากากและรูปสลักติกิ (tiki) ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกตามความเชื่อของชาวนิวซีแลนด์ บาร์ที่ตกแต่งในลักษณะนี้จึงมีชื่อว่า บาร์ติกิ (tiki bar) ตามไปด้วย
ช่วงทศวรรษ 1950-1960เป็นยุคที่วัฒนธรรมติกิเฟื่องฟูมาก ร้านต่างๆ หันมาตกแต่งร้านด้วยสไตล์แบบติกิ (tiki-theme) ที่มีกลิ่นอายของหมู่เกาะทะเลใต้ พร้อมดนตรีและการแสดงแบบชาวเกาะ
บาร์ติกิจำนวนมากก็เช่นกัน บาร์เหล่านี้เริ่มมีเครื่องดื่มค็อกเทลที่ใช้เหล้ารัมจากต่างแดนเป็นจุดเด่น อย่าง สุมาตราคูลา (Sumatra Kula) ซอมบีค็อกเทล (Zombie cocktail)
แน่นอน..ย่อมต้องมีไมตาอี (Mai Tai) ด้วยทุกร้าน
ในภาพยนตร์เพลงโรแมนติก ปี 1961 เรื่อง Blue Hawaii ของค่ายพาราเมาท์พิกเจอรส์ ซึ่งนำแสดงโดยพระเอกชื่อดังอย่างเอลวิส เพรสลีย์ มีการสั่งเครื่องดื่มค็อกเทล Mai Tai อยู่หลายครั้งครับ
โดยที่ผ่านมานั้น แม้เมนูค็อกเทล Mai Tai นี้จะเดินทางเข้ามาในฮาวายตั้งแต่ปี 1953 แล้ว แต่มันก็ยังไม่เป็นได้รับความนิยมมากนัก
แต่ด้วยกระแสความคลั่งไคล้เอลวิสและกระแสความโด่งดังของภาพยนตร์ Blue Hawaii นี่เองที่ทำให้โชคชะตาของเจ้าค็อกเทล Mai Tai พลิกผัน ในชั่วข้ามคืน มันกลายเป็นที่รู้จักแพร่หลายจนกลายเป็น “ของมันต้องสั่ง” ทุกครั้งเมื่อมาเยือนเกาะแห่งนั้นจนกระทั่งปัจจุบัน
—-
เอาล่ะครับ , และเพื่อให้การจิบ Mai Tai ได้ความรื่นรมย์ยิ่งขึ้นคืนนี้ใครสนใจออกไปจิบไหมไทยตามบาร์ซักแห่ง ผมขออนุญาตแนะนำว่าให้ขอเพลง Can’t Help Falling in Love จากดี.เจ.คลอไปด้วย เพราะเพลงนี้นับเป็นเพลงเอกในภาพยนตร์เรื่อง Blue Hawaii ที่เรียกได้ว่า “แจ้งเกิด” มาด้วยกัน และกลายเป็นเพลงที่โด่งดังข้ามกาลเวลามาจนทุกวันนี้เช่นเดียวกับไหมไทย
แน่นอนครับ..คืนนี้เป็นคืนวันศุกร์