.
‘ไอศกรีม’ นั้นนับเป็นอาหารที่ผูกพันกับพวกเราอย่างมากมาเนิ่นนานครับ..
โลกของไอศกรีมนั้น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยุคโบราณ และแน่นอนว่ามันมีพัฒนาการ มีการเดินทาง , มีทั้งการค้นคว้าการทดลอง มีประโยชน์ และมีการดัดแปลงสร้างรสชาติใหม่ๆ ขึ้นมามากมายที่ไม่ใช่แค่รสวานิลลา กะทิ สตรอว์เบอร์รี ช็อกโกแล็ต กาแฟ รัมลูกเกด หรือรสผลไม้ต่างๆ เท่านั้น
เพราะทุกวันนี้เรามีไอศกรีมรสชาติน่าทึ่งนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าหลายๆ รสนั้นไม่สามารถคาดคิดล่วงหน้าได้ด้วยซ้ำ
ที่ผ่านมา ,หลายคนอาจคิดว่าไอศกรีมนั้นมันก็แค่ของกินหวานๆ ธรรมดาๆ ไม่น่ามีอะไรซับซ้อนพิสดารใช่มั้ยครับ
แต่ไม่เลย..จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะในโลกของไอศกรีมนั้นมีการใช้ไอเดียสร้างสรรค์ นวัตกรรม และการประดิษฐ์คิดค้นอยู่เสมอ
และนี่คือเรื่องเล่าและเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ “ไอศกรีม”
ที่ “นวัตกิน” มีนำมาฝากกันครับ
1. บิงชูแบบอเล็กซานเดอร์มหาราช
โดยพื้นฐาน “ไอศกรีม” คือน้ำแข็งที่แต่งรสชาติให้น่ากินครับ ซึ่งในอดีต..น้ำแข็งที่ว่าก็หมายถึงหิมะนั่นเอง
แต่ก่อนนั้น หิมะนั้นถูกบริโภคหลายวิธีครับ
วิธีแรก..เราอาจเคยได้ยินกันมาบ้างว่าผู้คนในเขตหนาวจัดนั้นมีการนำหิมะมาต้มให้เป็นละลายเพื่อเป็นน้ำไว้ดื่ม แต่ในอีกวิธีหนึ่ง หิมะเกล็ดๆ แข็งๆ เย็นจัดๆ นี่แหละได้ถูกนำไปประดิษฐ์เป็นอาหารประเภทขนมมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
โดยตัวอย่างที่ถูกบันทึกและเล่าขานกันต่อมาก็เช่น จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์มหาราชนั้นก็เคยเสวยหิมะเย็นจัดที่แต่งรสด้วยน้ำผึ้งและน้ำหวานจากผลไม้
หรือแม้แต่พระจักรพรรดิเนโรแห่งกรุงโรมก็เช่นกัน เรื่องเล่าขานกันมากล่าวว่าท่านได้เคยส่งทหารขึ้นไปบนภูเขาสูงด้วยภารกิจให้นำหิมะกลับมาถวาย
ซึ่งหิมะเหล่านี้เองครับ คือที่มาของไอศกรีมยุคบุกเบิกที่ตกแต่งรสด้วยน้ำหวานและเครื่องเทศนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้ง , น้ำหวาน , ผลไม้นานาชนิด , กานพลู และอื่นๆ
ซึ่งแม้ในปัจจุบัน ไอศกรีมจะพัฒนาสูตรไปไกลจากจุดตั้งต้นมาก และยังมีเพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่นำหิมะจริงๆ มาทำเป็นอาหารจำพวกของว่างแช่เย็น
แต่เอาจริงๆ ถ้าเราอยากลิ้มรสชาติไอศกรีมยุคโรมันล่ะก็ “บิงซู” หรือ “ไอศกรีมเกล็ดหิมะ” หลากหลายรูปในยุคนี้แบบนี่แหละครับ น่าจะใกล้เคียงกับของเสวยของจักรพรรดิโรมันมากที่สุด
2. ทำไมไอศกรีม Sunday จึงเขียน Sundae
เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมไอศกรีมซันเดย์ ต้องสะกดเป็น sundae ด้วย
เรื่องนี้มีตำนานหลายทางมาก บ้างก็ว่า ในยุโรปและสหรัฐช่วงศตวรรษที่ 19 มีการออกกฎหมายที่เรียกว่า Blue Law หรือ Sunday Law ที่ห้ามการกระทำบางอย่างในวันอาทิตย์เพื่อให้ประชาชนได้ไปโบสถ์ หรือทำกิจกรรมพักผ่อนตามข้อกำหนดทางศาสนา
ซึ่งกฎหมายที่ว่านี้ก็รวมถึงการห้ามจับจ่ายซื้อข้าวของและห้ามขายสินค้าบางชนิดด้วย ทำให้ร้านค้าในบางประเทศถึงกับต้องปิดในวันอาทิตย์เพื่อเลี่ยงการทำผิดกฎหมาย
เมนูหนึ่งที่เป็นเมนูยอดนิยมในเวลานั้น คือ ไอศกรีมกับน้ำอัดลมที่เมื่อก่อนเรียกว่า โซดา (soda) แต่ในราวปี ค.ศ.1890 พอมีกฎหมายออกมาห้ามขายน้ำอัดลมหรือโซดาในวันอาทิตย์ บรรดาร้านไอศกรีมก็หันไปขายไอศกรีมกับน้ำเชื่อม พร้อมเปลี่ยนตัวสะกดเป็น sundae แทน
ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็บอกว่า..
ในปี ค.ศ.1893 เจ้าของร้านขายยาในนิวยอร์กคนหนึ่ง ได้ทำไอศกรีมสูตรพิเศษขึ้นมาให้สาธุคุณท่านหนึ่งลองชิมในวันอาทิตย์ โดยใช้ไอศกรีมวานิลลาที่เพิ่มรสชาติและสีสันด้วยน้ำเชื่อมเชอร์รีพร้อมด้วยลูกเชอร์รีกระป๋อง
ผลปรากฏว่า ท่านสาธุคุณชอบมากจนถึงกับตั้งชื่อไอศกรีมชนิดนี้ว่า “เชอร์รีวันอาทิตย์” หรือ Cherry Sunday ซึ่งต่อมา พอมีชื่อเสียงเมนูนี้เลยเกิดการทำขายในวันอาทิตย์
และต่อมาก็ปรากฏอีกว่าขายดีเกินคาด จึงอยากขายทุกวัน ที่นี้พอมีการทำขายทุกวัน ก็เลยมีการตัดสินใจเปลี่ยนตัวสะกดคำว่าซันเดย์ให้เป็น sundae ซะเลยจะได้ไม่เป็นแค่ไอศกรีมที่มีการขายแค่วันอาทิตย์
ส่วนตำนานอื่นๆ อย่างคำว่าSundae นั้นมาจากการเป็นไอศกรีมเก่าค้างคืนจากวันอาทิตย์มาตักขายวันต่อมาๆ นั้น อันนี้เป็นแค่เรื่องเล่าลือครับ ไม่มีอะไรยืนยันชัดเจน
3. ไอศกรีมซันเดย์ที่แพงที่สุดโลก
คุณๆ เคยกินไอศกรีมแพงที่สุดราคาเท่าไหร่ครับ..วันนี้เรามีไอศกรีมซันเดย์ที่เรียกว่าราคาไม่สบายกระเป๋ามาฝากกัน...
ร้านอาหารแห่งหนึ่งในนิวยอร์กฉลอง 50 ปีของการก่อตั้ง ด้วยเมนูพิเศษที่ชื่อว่า Golden Opulence Sundae ราคาถ้วยละ 1,000 เหรียญ ที่ต้องสั่งล่วงหน้า 48 ชั่วโมง เรียกว่าแพงจนได้บันทึกเป็นสถิติโลก แถมทางร้านยังทำแค่เดือนละครั้ง ถ้าสั่งไม่ทันก็ต้องรอเดือนถัดไป
ความลับของไอศกรีมราคาสุดโหดแถมไม่ง้อลูกค้านี้ อยู่ที่ “ส่วนผสม” ครับ เพราะที่ต้องให้สั่งล่วงหน้า 48 ชั่วโมง ก็เพื่อหาส่วนผสมจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ครบถ้วน หลักๆ ก็มีไอศกรีมที่ใช้วานิลลานำเข้าจากหมู่เกาะตาฮีตี จำนวน3 ลูก แต่งด้วยทองคำเปลวกินได้ 23กะรัตทำเป็นรูปดอกกล้วยไม้ทองคำเหลืองอร่าม
มีท็อปปิ้งเป็นคาเวียร์พิเศษจากปลาสเตอร์เจียนสีขาวผสมกับเนื้อเสาวรส (passion fruit) เพิ่มรสชาติด้วยบรั่นดีอาร์มาญัค (armagnac) จากตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส โรยหน้าด้วยน้ำตาลเคลือบทองคำและผงทองคำเป็นการปิดท้าย
แน่นอน, ของราคาแพงก็ต้องเสิร์ฟในภาชนะราคาแพง จริงไหมละครับ
เมนูนี้เขาเสิร์ฟด้วยถ้วยคริสตัลเนื้อดีเยี่ยมจากฝรั่งเศส ราคาใบละ 350 เหรียญ (เอง) ซึ่งเมื่อคุณเสร็จธุระกับไอศกรีมแล้วก็สามารถเก็บถ้วยใบหมื่นกว่าบาทนี้กลับบ้านไปเป็นที่ระลึกได้ด้วย (แหงล่ะ ลองไม่ให้กลับสิ 555)
4. Brain freeze อาการกินไอศกรีมแล้วปวดหัว...อาจช่วยไมเกรนหาย
เมื่อปี ค.ศ.2012 ที่เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย นักวิจัยพบว่าการปวดหัวหลังกินของเย็นจัด โดยเฉพาะไอศกรีมและน้ำเย็น ซึ่งเรียกว่า brain freeze (สมองถูกแช่แข็ง) ซึ่งเกิดจากการที่เส้นเลือดขยายตัวบริเวณสมองเพื่อต่อสู้กับความเย็นจนกลายเป็นเพิ่มความดันเลือดที่ศีรษะและทำให้เกิดอาการปวดนั้น น่าจะช่วยพัฒนาการรักษาโรคไมเกรนในอนาคตได้
เวลาเรากินของเย็นจัดนั้นจะมีเลือดไปที่สมองมากเป็นพิเศษ เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะมันเป็นกระบวนการป้องกันภัยของร่างกายเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้น
ยิ่งสมองเป็นอวัยวะสำคัญ เมื่อเกิดผลข้างเคียงอย่างความดันเลือดในสมองเพิ่มขึ้นจนปวดหัว ร่างกายของเราจะรีบพยายามปรับสมดุลทันทีด้วยการส่งเลือด(อุ่นๆ) ไปเลี้ยงสมองมากเป็นพิเศษ ซึ่งการศึกษาในเรื่องนี้ต่อไปน่าจะช่วยแก้ไขโรคไมเกรนได้ในอนาคต
สำหรับอาการ Brain freeze นั้นตามปกติแล้วจะสามารถคลายลงเมื่อเราดื่มน้ำอุ่น เพราะน้ำอุ่นจะเข้าไปช่วยให้อุณหภูมิบริเวณสมองกลับมาสู่ปกติและเส้นเลือดที่ขยายตัวกลับมาอยู่ที่ขนาดปกติ
อ้อ อาการปวดหัวจากการกินของเย็นนี้มีชื่อเรียกเป็นศัพท์แพทย์ด้วยภาษาละตินสวยหรู ว่า sphenopalatine ganglioneuralgia แปลว่า “อาการปวดประสาทที่ปมประสาทเฟนโนแพลาทีน” นะครับ
แต่..เราเรียกว่า Brain freeze เหมือนเดิมก็โอเคนะ
5. ไอศรีมรสชาติพิสดาร
หลายปีก่อนที่ญี่ปุ่น มีการสำรวจพบว่ารสชาติไอศกรีมยอดนิยมกว่า 60 รสของชาวแดนปลาดิบนั้น มีหลายรสที่ไม่น่าจะมีที่อื่นในโลกอีกแล้ว
เช่น ไอศกรีมรสไก่ทอด , ไอศกรีมรสแคคตัส (กระบองเพชร) ,ไอศกรีมรสมะเขือเทศ , รสปลาไหล , รสลิ้นวัว , รสหอยนางรม , รสผ้าไหม (!!!!) , รสสลัดพร้อมผักในเนื้อไอศกรีม , รสคอลลาเจนกับมะนาว , รสวาซาบิ
และที่เจ็บปวดมากเหลือเกินคือ ‘รสหูฉลามกับเส้นก๋วยเตี๋ยว‘ ..(มันจะอะไรกันนักหนา)
แต่ญี่ปุ่นว่าเจ๋งแล้ว ข้ามไปฝั่งอเมริกาก็ไม่ได้แพ้กันครับ
โลกไอศกรีมของชาวอเมริกันนั้นก็วาไรตี้ไม่ย่อย อย่างในรัฐนิวยอร์ก มีร้านไอศกรีมอยู่ร้านหนึ่งที่เสิร์ฟไอศกรีมถึง 300 รสชาติ หนึ่งในนั้นมีรสฟัวกรา (foie gras) หรือรสตับเป็ด-ห่าน อยู่ด้วย
ส่วนที่รัฐเดลาแวร์มีไอศกรีมพริกคาโรไลนารีพเปอร์ (Carolina Reaper) สีแดงอมชมพูดสวยงามมาก แต่มีความเผ็ดถึง 2,200,000 SHU (หน่วยวัดความเผ็ดร้อนของพริก) ที่ถือได้ว่าเผ็ดที่สุดในโลก และทุกปีจะมีการแข่งกินไอศกรีมพริกที่ว่าด้วย โดยในการสมัครจะมีคำเตือนผู้เข้าแข่งว่าควรเตรียมพร้อมด้วยการเซ็นใบถอนตัวไว้แต่เนิ่นๆ ด้วย
ที่รัฐเมนมีไอศกรีมรสเนื้อล็อบสเตอร์อบเนย , ซานฟรานซิสโกมีไอศกรีมเหล้าเบอร์เบิร์นกับคอร์นเฟลคที่ติดอันดับขายดี
ส่วนเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอนก็มีไอศกรีมรสลูกแพร์กับไอศกรีมรสบลูชีสที่ได้รับรางวัลมากมายเป็นเครื่องประกันความอร่อย
เขียนมาถึงตรงนี้..บอกได้เลยว่าของหวานเกล็ดน้ำแข็งหิมะหรือไอศกรีมนั้นมีนวัตกรรมการการประดิษฐ์คิดค้นที่มากมายจนทำให้มันเดินทางมาไกลจริงๆ
ส่วนใครมีไอศกรีมรสพิสดารอะไรมากไปกว่านี้ ส่งข่าวบอกต่อกันมาได้นะครับ