นวัตกรรมการคั่วกาแฟในอวกาศ
••••
.
▪ สวัสดีครับ จากครั้งก่อนที่นวัตกินลงบทความเรื่องของนวัตกรรมการคิดค้น “กาแฟนานาชาติ” ไปนั้น มีหลายท่านส่งความเห็นมาว่าอยากให้เราทำบทความกาแฟชาติอื่นๆ เพิ่มอีก ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีปัญหาอะไรและเรากำลังทำอยู่ครับ
แต่ก่อนจะไปเรื่องกาแฟนานาชาติ วันนี้นวัตกินอยากพาทุกคนพาไปเที่ยวนอกโลกก่อนครับ เพราะเรื่องที่เราเอามาเล่าวันนี้มันคือความพยายามครั้งใหม่ในโลกของ ‘นวัตกรรมการคั่วกาแฟ ‘
และงานนี้..ใช่ครับ มีคนกำลังจะปล่อยจรวดขึ้นไปคั่วกาแฟกันนอกโลกในปีหน้านี้เอง
.
▪ หัวใจของกาแฟ
นับตั้งแต่มนุษย์รู้จักดื่มกาแฟ การคั่วกาแฟก็กลายเป็นหัวใจสำคัญของรสชาติอย่างไม่มีใครปฏิเสธได้ เทคโนโลยีการคั่วเมล็ดกาแฟนั้นพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตลอดเพื่อตามหากาแฟที่ perfect ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้..
ย้อนไปในอดีต การคั่วเมล็ดกาแฟเป็นหัวใจของคุณภาพกาแฟและถือได้ว่าเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เพราะอุณหภูมิต้องถึงระดับที่จะดึงความหอม กลมกล่อมและรสชาติที่เข้มข้นของกาแฟออกมาให้ได้ครบถ้วน
แต่ปัญหาที่คนคั่วกาแฟพบเสมอคือ เมล็ดกาแฟได้รับความร้อนไม่ทั่วถึง หรือบางครั้งก็ไหม้เกรียมจากความร้อนที่มากเกินไป แทนที่จะให้รสชาติเข้มข้น มีความหวานและได้กลิ่นไหม้ๆ พอดีๆ กลับกลายเป็นกาแฟที่ไหม้จนขมแทน
ที่ผ่านมา การคั่วกาแฟจึงเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ศึกษา ทดลองมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวันหนึ่งนักธุรกิจชาวดูไบ 2 คน เสนอไอเดียที่เรียกว่าแปลกแต่น่าสนใจ ด้วยการทดลองคั่วกาแฟในสภาพไร้น้ำหนักโดยใช้ความร้อนจากการจากการเสียดสีของยานอวกาศขณะกลับสู่พื้นโลก จะเรียกว่า “กาแฟอวกาศ” ก็น่าจะเหมาะที่สุด
.
▪ ทำไมต้องคั่วเมล็ดกาแฟ
ศาสตร์การคั่วกาแฟน่าจะมีมาพร้อมๆ กับการที่มนุษย์รู้จักดื่มน้ำที่ชงจากเมล็ดพืชชนิดนี้ บางคนสันนิษฐานว่าเมื่อเกิดไฟไหม้ป่าลามไปถึงต้นกาแฟ ควันหอมๆ จากเมล็ดกาแฟที่ถูกความร้อนทำให้ผู้คนเรียนรู้ว่าถ้านำเมล็ดมาคั่วก็จะทำให้มีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้นมากขึ้น
นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา เมื่อชาวอาหรับค้นพบวิธีคั่วเมล็ดกาแฟก็กระตุ้นให้ความต้องการดื่มกาแฟเพิ่มขึ้น จึงมีการส่งเมล็ดกาแฟจากคาบสมุทรอาระเบียไปยังยุโรปอย่างต่อเนื่อง
ในเวลานั้นผู้คนยังคั่วกาแฟด้วยตนเองตามบ้านเรือน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การคั่วเป็นกระบวนการที่ยุ่งยาก ต้องควบคุมปัจจัยหลายอย่าง
ขณะเดียวกันผลที่ได้ก็ไม่สม่ำเสมอ เรียกว่าการคั่วแต่ละครั้งให้ผลไม่เหมือนกันเลย ประกอบกับเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วยังคงสภาพได้ไม่ดีนักและเก็บรักษายากกว่าเมล็ดกาแฟธรรมดา ซึ่งส่งผลต่ออายุของกาแฟที่คั่วแล้ว ตรงนี้เองครับจึงเป็นเหตุให้จำนวนผู้คนที่คั่วกาแฟเองลดลงในเวลาไม่กี่ปี
ปัจจุบันการคั่วกาแฟส่วนใหญ่ใช้เครื่องคั่วกาแฟที่หมุนต่อเนื่องกันตลอดเวลา โดยใช้เวลาเฉลี่ย 8-25 นาที ที่อุณหภูมิสุดท้าย 150-250 องศาเซลเซียส
ซึ่งก็มีทั้งการใช้ความร้อนจากเตาไฟแบบดั้งเดิม ระบบรางไฟ ไปจนถึงการใช้ลมร้อนในการคั่วเพื่อกระจายความร้อนให้ทั่วถึง
แต่ปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติกาแฟมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ แหล่งที่มาและความชื้นของเมล็ดกาแฟ ประเภทและแหล่งพลังงานของเครื่องคั่ว อุณหภูมิเริ่มต้นและอุณหภูมิสุดท้าย ระยะเวลาและสภาพอากาศขณะคั่ว ฯลฯ
การจะคั่วกาแฟให้ดึงเอารสชาติ ความเข้มและความหอมของเมล็ดกาแฟออกมาได้จริงๆ นั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
.
▪ แก้ปัญหาด้วยไอเดียสุดล้ำ..ออกนอกโลกซะเลย
ด้วยไอเดียของผู้ประกอบการชาวดูไบ 2 คน นั่นคือ อันเดรส คาวาลลินี (Anders Cavallini ) และ ฮาเต็ม อัลคาฟาจี (Hatem Alkhafaji)
ทั้งสองจึงร่วมกันตั้งบริษัท Space Roastersที่เสนอแนวคิดประหลาดแต่น่าสนใจนี้ขึ้นมา ด้วยการสร้างจรวดแล้วส่งขึ้นไปสู่อวกาศเพื่อทำภารกิจคั่วเมล็ดกาแฟโดยเฉพาะ
พร้อมตั้งชื่อว่า “แคปซูลคั่วกาแฟ”
(Coffee Roasting Capsule)
ทั้งนี้ แคปซูลคั่วกาแฟที่เกิดจากไอเดียสุดคูลนี้ มีกำหนดจะปล่อยสู่อวกาศในปี 2020 นี้ โดยใช้ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเสียดสีกับชั้นบรรยากาศขณะกลับสู่พื้นโลกมาคั่วกาแฟที่ลอยอยู่ในถังควบคุมความดัน โดยผลที่พวกเขามองไว้คือเมล็ดกาแฟจะได้รับการคั่วอย่างทั่วถึง ซึ่งเมื่อนำมาชงก็จะได้เป็นกาแฟที่สมบูรณ์แบบนั่นเอง
เจ้าของไอเดียทั้งสองคนนี้อ้างว่า การคั่วกาแฟแบบทั่วไปที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันนั้น จุดอ่อนคือมันเป็นการไล่น้ำและความชื้นที่ค้างอยู่ในเมล็ดกาแฟออกไป
ดังนั้นเมื่อเมล็ดกาแฟได้รับความร้อนพวกมันจะดีดตัวออกจากกันเหมือนเมล็ดข้าวโพดคั่ว ส่งผลให้น้ำมันหอมในเมล็ดจะระเหยออกมา
ขณะเดียวกันโปรตีนและสารอินทรีย์ในเมล็ดกาแฟก็จะทำปฏิกิริยากับความร้อนซึ่งส่งผลต่อรสชาติของกาแฟด้วย
การคั่วและควบคุมการสุกได้ไม่เท่ากันนี้จะทำให้รสชาติกาแฟที่ได้นั้นขมไหม้แทนที่จะเข้มข้นพอดีๆ มีความหวานได้กลิ่นไหม้ที่หอมพอดี
เหตุนี้เอง พวกเขาจึงคิดวิธีการคั่วกาแฟในสภาพไร้น้ำหนักไร้น้ำหนักโดยใช้แหล่งความร้อนจากการเสียดสีกับชั้นบรรยากาศ โดยที่เมล็ดกาแฟที่ลอยวนไปมาอยู่ในเตาคั่ว จะได้รับความร้อนเท่าๆ กันได้ 360 องศาอย่างทั่วถึง และเมล็ดกาแฟไม่สัมผัสกับเตาคั่วจนเกิดการไหม้เสียก่อน
.
▪ แคปซูลคั่วกาแฟในอวกาศ
แคปซูลคั่วกาแฟที่พวกเขาคิดขึ้น มีถังควบคุมความดัน 4 ใบ แต่ละใบบรรจุเมล็ดกาแฟได้ 75 กิโลกรัม รวมเป็น 300 กิโลกรัม
โดยมันจะถูกส่งขึ้นไปพร้อมจรวด เมื่อได้ความสูงประมาณ 200 กิโลเมตรจากพื้นโลก จรวดจะปล่อยแคปซูลให้ถูกแรงโน้มถ่วงดึงกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ
จากนั้นกระบวนการคั่วจะเริ่มขึ้นที่ความสูง 120 กิโลเมตร ด้วยความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200 องศาเซลเซียส จนกระทั่งเมื่ออยู่ที่ระดับความสูง 80 กิโลเมตร กระบวนการคั่วก็จะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลา 20 นาที
จากนั้นเมื่อแคปซูลค่อยๆ ลอยลงมาอย่างต่อเนื่องจนที่ระดับความสูง 40 กิโลเมตร ร่มชูชีพก็จะกางออกประคองให้แคปซูลค่อยๆ ตกลงสัมผัสพื้นโลกอย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ ในแคปซูลยังมีกล้องวีดิโอสำหรับการเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังมีใช้ระบบ GPS ในระบุตำแหน่งของแคปซูลอีกด้วย
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการทั้งสองคนยังย้ำอีกว่า ตอนนี้ได้เจรจากับบริษัทจรวดเอกชน อย่าง Rocket Lab และ Blue Origins เพื่อร่วมกันหาจรวดที่เหมาะสมสำหรับภารกิจนี้เรียบร้อยแล้ว
โดยแผนการขั้นตอนไปก็คือ เมื่อได้กาแฟที่คั่วด้วยความร้อนสูงในอวกาศมาเรียบร้อย ก็จะนำมาบดทำกาแฟสุดพิเศษเพื่อขายในดูไบเป็นแห่งแรก แต่ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขกาแฟแก้วพิเศษนี้ว่ามันจะมีมูลค่าราคาเท่าไร..แต่ไม่น่าจะธรรมดาแน่ๆ
.
▪ จากจิบแรกในอวกาศ..สู่การคั่ว
แม้จะมีข้อมูลว่า คาวาลลินี และ อัลคาฟาจี ไม่ใช่เจ้าแรกเสียทีเดียวที่คิดเรื่องการชงกาแฟในอวกาศขึ้นมา
เพราะในปี 2015 บริษัท Argotec ซึ่งเป็นบริษัทด้านการบินอวกาศของอิตาลี กับ Lavazza ซึ่งเป็นบริษัทผลิตกาแฟจากประเทศเดียวกัน ได้ร่วมกันสร้างเครื่องทำกาแฟเอสเปรสโซ ยี่ห้อ ISSpresso ที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในอวกาศมาแล้ว โดยติดตั้งไว้ในสถานีอวกาศนานาชาติ เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในกิจการอวกาศของอิตาลี
โดยกาแฟเอสเปรสโซจากเครื่อง ISSpresso นี้ มีการชงและดื่มในอวกาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2015 จากถ้วยพิเศษที่ออกแบบมาให้ดื่มได้ในสภาพแรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์
และมนุษย์ที่ดื่มกาแฟถ้วยนี้เป็นคนแรกคือ ซาแมนท คริสโตโฟเรตติ นักบินอวกาศหญิงชาวอิตาลี
นั่นคือเรื่องการจิบครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องการคั่ว งานนี้ยังไงๆ ก็ต้องให้เครดิต คาวาลลินี และ อัลคาฟาจี ที่เป็นต้นกำเนิดของไอเดียการคั่วกาแฟด้วยความร้อนจากแหล่งที่ไม่เคยมีใครคิดจะนำมาใช้แบบนี้มาก่อน
อีกทั้ง พวกเขายังนำความรู้และเทคโนโลยีเกี่ยวกับอวกาศมาแก้ปัญหาที่เกิดจากกระบวนการคั่วกาแฟที่ทำกันอยู่ นับว่าเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจมากๆ
และในอนาคตใกล้ๆ นี้ หากการทดลองของคาวาลลินี และ อัลคาฟาจี สำเร็จ วันหนึ่งพวกเราอาจจะไม่ได้มีแค่การส่งจรวดไปปล่อยแคปซูลลงมาก็ได้ ต่อไปใครจะนู้ บางทีพวกเราอาจมี นวัตกรรมการใช้เทคโนโลยีอวกาศอื่นๆ อีกมาสร้างสรรค์กาแฟคุณภาพใหม่ๆ พลิกแพลงดัดแปลงกันต่อไปอีก
ว่าแต่..ก่อนจะถึงวันนั้น
ตอนนี้ผมอยากรู้มากเลยว่า ปีหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้ (2020) ใครจะเป็นคนแรกที่ได้ชิมกาแฟอวกาศแก้วแรกของโลก
และอีกคำถามที่เชื่อว่าทุกคนคงต้องอยากรู้เหมือนกันแน่ๆ คือ..สนนราคาของกาแฟแก้วนั้นมันจะซักเท่าไหร่กันหนอ..
ครับ , รับปากเลยว่า เมื่อมีข่าวออกมาเมื่อไหร่ เพจนวัตกินของเราจะติดตามมาบอกใหม่ก่อนใครเช่นเคยครับ
หวังว่าจะชอบบทความนี้กันนะครับ