7 เมนูโชคดีรับปีใหม่จากทั่วโลก

7 เมนูประจำคืนปีใหม่ของธรรมเนียมต่างๆ ทั่วโลก
….
ขนมหมูนำโชคของออสเตรีย..
ก๋วยเตี๋ยวข้ามปีของญี่ปุ่น..การกินอง่น 12 ลูกแบบสเปน””
โดนัทของชาวดัตช์..ข้าวต้มมัดพลังหญิงเม็กซิกัน..
เค้กหอคอย 18 ชั้น..และ ไส้กรอกเศรษฐีอิตาเลียน..

.

มนุษย์อย่างพวกเรานั้นผูกพันกับอาหารมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เพราะ “อาหาร” นั้นหมายถึงความอยู่รอดในปัจจุบัน และก็ความอุดมสมบูรณ์ของการเพาะปลูกในฤดูกาลใหม่ที่เราหวังไว้ในอนาคต

ดังนั้น จะสังเกตได้นะครับว่า ไม่ว่าจะชนชาติหรือประเทศใด เวลาที่พวกเรามีวาระพิเศษในการเฉลิมฉลองแล้วล่ะก็ สิ่งที่ขาดไม่ได้ย่อมต้องเป็น “อาหารและขนม และเครื่องดื่ม” ที่ถูกจัดหา เลือกสรร ปรุงรสและก็ออกแบบมาอย่างดีเสมอ

ธรรมเนียมที่เรียกว่า “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับเข้าสู่ปีใหม่”

ก็เช่นกันครับ

แม้ทุกวันนี้ แชมเปญ อาหาร หมวกปาร์ตี้และการจูบต้อนรับ New Year Eve ใน เวลา 00.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม จะเป็นธรรมเนียมอเมริกันที่กลายเป็นสิ่งที่ทั่วโลกรับรู้และคิดว่าเป็นธรรมเนียมสากลไปแล้ว

แต่ทราบหรือไม่ครับว่า แต่เดิมธรรมเนียมการขึ้นปีใหม่ของผู้คนทั่วโลก (ที่แต่เดิมไม่ใช่วันเดียวกัน) นั้น ต่างก็มีความ “พิเศษ” หลายอย่างแตกต่างกันไป โดยเฉพาะเรื่อง “อาหาร” ซึ่งมีหลายเรื่องน่ารู้ น่าสนใจ และน่าทาน (มาก)

วันนี้..วันแรกของการเปิดทำงาน หลังจากได้หยุดปีใหม่กันอย่างเต็มที่มาแล้ว “นวัตกิน” จึงขอพาทุกคนไปรู้จักกับอาหารในคืนเฉลิมฉลองวันปีใหม่ของที่ต่างๆ กันครับ

1. ปีใหม่สเปน กับการกินองุ่น 12 ลูกตามจังหวะนาฬิกา

ขณะที่ชาวอเมริกันเฝ้ารอลูกโป่งที่จะถูกปล่อยลงมาที่จตุรัสไทม์ (Times Square) ในคืนส่งท้ายปี ผู้คนในสเปนต่างก็พากันไปชุมนุมที่หอนาฬิกาใหญ่เพื่อนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่

แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ที่บ้านพร้อมๆ กับการเฉลิมฉลองตามธรรมเนียมโบราณนั่นคือ พอถึงเที่ยงคืน นาฬิกาจะตี 12 ครั้ง ใช่ไหมครับ …นาฬิกาตี 1 ครั้ง คนสเปนก็จะหยิบองุ่นมากิน 1 ผล เป็นอันว่าพอครบ 12 ครั้ง ก็เป็นองุ่น 12 ผลพอดิบพอดี บางคนถึงกับเตรียมปอกเปลือกและแกะเมล็ดองุ่นไว้เลย คงกะว่าจะให้พอดีกับจังหวะนาฬิกา นั่นเอง

ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ก็ฉลองปีใหม่ด้วยการเริ่มให้สิ่งดีๆ จากการกินองุ่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในนาทีแรกของปี น่าลองเหมือนกันนะครับ

2. Oliebollen ออยลีบอลเลน โดนัทปีใหม่ของชาวดัตช์

ขนมที่เรียกว่า “ออยลีบอลเลน” (oliebollen) ที่เป็นแป้งปั้นลูกกลมๆ ทอดในน้ำมันร้อนๆ ขายตามริมถนนที่เนเธอร์แลนด์ นอกจากจะกินอร่อยเหมือนโดนัท (แต่ไม่มีรู) แล้ว ยังเป็นขนมที่นิยมกินกันในวันส่งท้ายปี (และในวาระสำคัญอื่นๆ ) อีกด้วย

สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของขนมชนิดนี้คือ การนำแป้งแบบเดียวกับโดนัทมาปั้นเป็นลูกกลมๆ ประดับด้วยลูกเกด แล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อนจัด เมื่อสุกนำขึ้นมาพักไว้แล้วโรยน้ำตาลไอซิง ทานในขณะที่มันยังอุ่นเหมาะกับเมืองที่อากาศหนาว ซึ่งแน่นอนว่า ในคืนอันหนาวเย็นของการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าเข้าสู่ในใหม่ของชาวดัตช์นั้น บนโต๊ะอาหารของพวกมักจะเต็มไปด้วยถาดใส่ขนมออยลีบอลเลนชนิดนี้ครับ

ถ้าคุณๆ มีโอกาสไปเที่ยวกรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของดินแดนกังหันลมยักษ์ อย่าลืมแวะชิมขนมออยลีบอลเลนทอดร้อนๆ ตามร้านหรือรถเข็นแบบ street food นะครับ รับรองว่าหายหนาวขึ้นเยอะเลย

3. Glücksschwein ขนมหมูนำโชค คืนดื่มไวน์และกินหมูของคนออสเตรีย

ออสเตรียและเยอรมนีเรียกค่ำวันส่งท้ายปีว่าวันซิลเวสเตราเบนด์ (Sylvesterabend) หรือค่ำคืนของนักบุญซิลเวสเตอร์ โดยค่ำวันเฉลิมฉลอง ชาวออสเตรียจะดื่มไวน์แดงผสมอบเชยและเครื่องเทศต่างๆ แกล้มด้วยเนื้อลูกหมู พร้อมประดับตกแต่งโต๊ะอาหารและบ้านเรือนด้วยหมูตัวเล็กๆ ทำจากมาร์ซิพาน (marzipan) ที่ใช้ไข่ขาว น้ำตาลและอัลมอนด์บดผสมกัน ส่วนขนม Glücksschwein หรือ “หมูนำโชค” ที่ทำจากเครื่องปรุงหลายอย่างก็เป็นขนมที่นิยมทำและกินกันในช่วงเทศกาลพิเศษนี้

นอกจากนี้ในประเทศนอร์เวย์ยังมีธรรมเนียมการกินโจ๊ก (risgrøt) ที่นำข้าวไปต้มกับน้ำหรือนม ใส่ลูกเกดและอบเชย บางถ้วยมีอัลมอนด์อยู่ที่ก้นถ้วย ซึ่งใครหาพบก็จะได้รับขนมมาร์ซิพานรูปหมูที่ถือเป็นเครื่องหมายนำโชคเป็นรางวัล

4. Toshikoshi soba โทชิโกชิโซบะ ก๋วยเตี๋ยวข้ามปีของญี่ปุ่น

เวลา 24.00 น. ของคืนส่งท้ายปีครอบครัวชาวญี่ปุ่นจะขาดโซบะที่ทำจากข้าวบัควีด (buckwheat) หรือ โทชิโกชิโซบะ (toshikoshi soba) ไม่ได้ บางคนเรียกเมนูนี้ว่าก๋วยเตี๋ยวข้ามปี เพราะชาวเมืองปลาดิบเขาจะนั่งกินโซบะพิเศษนี้ด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อยเป็นการอำลาปีก่อนเพื่อก้าวสู่ปีใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง

ธรรมเนียมนี้มีที่มาย้อนหลังไปในศตวรรษที่ 17 และเชื่อกันว่าเส้นโซบะยาวๆ นั้น เป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนและความมั่งคั่ง

อาหารอีกอย่างหนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นนิยมกินกันมาก คือ โมจิซึกิ (mochitsuki) ซึ่งก่อนถึงวันขึ้นปีใหม่ทุกคนในครอบครัวตลอดจนญาติมิตรจะผลัดกันใช้ตำข้าวเหนียวสุกในครกไม้หรือครกหินจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน แป้งที่ตำออกมามีกลิ่นหอม รสหวาน นำไปทำเป็นขนมต่างๆ อย่างขนมโมจิถือเป็นขนมมงคลสำหรับวันขึ้นปีใหม่ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของขนมไดฟุกุและขนมดังโงะ อีกด้วย

5. Tamales y Menudo ทามาเล อาหารปีใหม่จากพลังหญิงเม็กซิโก

ถึง “ทามาเล” จะหน้าตาเหมือนข้าวต้มมัด แต่ส่วนประกอบสำคัญของทามาเลคือข้าวโพด เนื้อ ชีสและเครื่องปรุงอื่นๆ ห่อด้วยใบตองหรือเปลือกข้าวโพดแล้วนำไปนึ่งจนสุก ซึ่งชาวเม็กซิโกจะทำขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันขึ้นปีใหม่ ที่จะต้องเสิร์ฟทามาเลกับเมนูโด (menudo) ซึ่งเป็นซุปข้นรสเผ็ดที่ปรุงจากเครื่องในและอาหารในกระเพาะวัว

ความน่าสนใจอยู่ที่หญิงชาวบ้านจะมารวมตัวกันทำทามาเล แต่ละคนทำอย่างเดียวแล้วส่งต่อให้เพื่อนทำขั้นตอนถัดไป เช่น คนที่ใส่ไส้ก็รับแป้งมาจากคนที่เตรียมแป้ง พอใส่ไส้เสร็จก็ส่งต่อให้คนที่ทำหน้าที่ห่อเป็นลำดับๆ ไป เหมือนสายพานการผลิตรถยนต์ หรือ assembly line ที่เฮนรี ฟอร์ดคิดขึ้นมาจนทำให้ผลิตรถยนต์ได้คราวละมากๆ แต่ต่างกันตรงที่วิธีการทำทามาเลมีมานานกว่านั้นหลายร้อยปี

อ้อ แถมให้อีกนิดนะครับ สำหรับคนที่ฉลองปีใหม่จนตื่นเช้ามีอาการแฮงก์ละก็ ลองซดซุปเมนูโดร้อนๆ นะครับ รับรองสดชื่นและ “ตื่น” ขึ้นทันตาเลยทีเดียว

6. Cotechino con lenticchie ไส้กรอกหมูเศรษฐีแบบอิตาเลียน

ชาวอิตาเลียนฉลองวันส่งท้ายปีด้วยเมนู Cotechino con lenticchie ซึ่งมีกำเนิดจากเมืองโมเดนา (Modena) ทางตอนเหนือของอิตาลี และปัจจุบันได้กลายเป็นเมนูที่นิยมกันทั่วประเทศไปแล้ว

Cotechino con lenticchie เป็นไส้กรอกหมูเสิร์ฟพร้อมกับสตูว์ถั่วเลนทิล ขึ้นชื่อว่าหมูไม่ว่าส่วนไหนๆ ก็อร่อยทั้งนั้น แถมยังมีไขมันที่จำเป็นสำหรับสู้กับหนาวเย็น

ในสมัยโบราณใครมีหมูมากถือว่าร่ำรวย ดังนั้น เนื้อหมูที่อยู่ในรูปของแฮม เบคอน ไส้กรอก สเต๊ก สูตว์ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและร่ำรวย ยิ่งไส้กรอกท่อนใหญ่ๆ ก็แสดงถึงความเหลือกินเหลือใช้ ไม่อดไม่อยาก เช่นเดียวกับถั่วเลนทิลเม็ดแบนๆ ที่ชาวอิตาเลียนเขาเห็นว่าคล้ายเหรียญกษาปณ์โรมัน เลยถือว่าเป็นเครื่องหมายของความมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ ไปด้วย

แล้วถ้าจะให้ perfect อาหารมื้อส่งท้ายปีแบบอิตาเลียนต้องจบด้วยขนมที่เรียกว่า chiacchiere ที่เป็นแป้งทำเป็นลูกกลมๆ หรือแผ่นแบนๆ ทอดในน้ำมันให้เหลืองกรอบราดด้วยน้ำผึ้งและน้ำตาลไอซิง ซึ่งต้องดื่มโปรเซกโก (Prosecco) หรือไวน์แบบมีฟองแบบอิตาลี ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีนะครับ

7. Kransekage เค้กหอคอย 18 ชั้นแห่งเดนมาร์ก

คราสเค้ก (Kransekage) มีหลายชื่อครับ อย่างเค้กพวงมาลัยหรือเค้กหอคอย เป็นเค้กรูปวงแหวนที่เรียงต่อกันเป็นชั้นๆ นิยมทำกันในเดนมาร์กและนอร์เวย์ ส่วนประกอบหลักของขนมชนิดนี้ คือ มาร์ซิพานที่ทำจากอัลมอนด์บด ไข่ขาวและน้ำตาล พบอบเสร็จก็จะวางเค้กซ้อนๆ กันโดยใช้ขวดไวน์หรือขวดเหล้าหมักมันฝรั่งเป็นแกนกลาง แล้วนำของประดับต่างๆ จำพวกธงชาติ น้ำตาลไอซิง ครีมและขนมแคร็กเกอร์มาตกแต่งให้สวยงาม

ว่ากันว่าเค้กแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อศตวรรษที่ 18ที่ประเทศเดนมาร์ก ปกตินิยมทำซ้อนกันไม่น้อยกว่า 18 ชั้น แต่ก็มีที่มากหรือน้อยกว่านั้นก็ได้ ส่วนรูปวงแหวนหรือวงกลมของเค้กชนิดนี้ก็มีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของอาหารการกินในปีใหม่ บางครั้งก็เชื่อมโยงไปถึง “วาสิโลปิตา” (Vasilopita) ซึ่งเป็นขนมปังที่ทำกันในวันขึ้นปีใหม่ของกรีกที่ซ่อนเหรียญกษาปณ์ไว้ในนั้น ซึ่งถ้าใครได้ชิ้นที่มีเหรียญไปก็ถือว่าจะมีโชคดีตลอดปีเลยทีเดียว

นอกจากวันขึ้นปีใหม่แล้ว เรายังพบเค้กแบบนี้ได้ในวาระสำคัญๆ อย่างวันคริสต์มาส การเฉลิมฉลองพิธีรับศีลมหาสนิทของชาวคริสต์ และที่ขาดไม่ได้ก็คือเป็นเค้กแต่งงานที่ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเสี่ยงทายด้วยกันยกเค้กจากชั้นบนสุดขึ้นทีละชั้นๆ ได้จำนวนชั้นที่ยกได้ก็มักจะทำนายว่าเป็นจำนวนลูกที่คู่แต่งงานจะมีด้วยกัน

—–

Related Posts